พาราสาวะถี
พร้อมสู้ทุกกระบวนท่ากล้าท้ารบทุกกระบวนยุทธ์ ถึงจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ แต่ไส้ในอย่างที่รู้กัน พรรคพลังประชารัฐ ที่ฟูมฟักกันมาโดยหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเผด็จการคสช. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ วันพรุ่งนี้จะเปิดโฉมหน้าหัวหน้าพรรคพร้อมคณะกรรมการบริหารทั้งหมด ในระดับผู้นำก็เป็นอันรู้กันหนีไม่พ้นคนในคาถาของหัวหน้าคณะรัฐประหารนั่นเอง
อรชุน
พร้อมสู้ทุกกระบวนท่ากล้าท้ารบทุกกระบวนยุทธ์ ถึงจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ แต่ไส้ในอย่างที่รู้กัน พรรคพลังประชารัฐ ที่ฟูมฟักกันมาโดยหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเผด็จการคสช. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ วันพรุ่งนี้จะเปิดโฉมหน้าหัวหน้าพรรคพร้อมคณะกรรมการบริหารทั้งหมด ในระดับผู้นำก็เป็นอันรู้กันหนีไม่พ้นคนในคาถาของหัวหน้าคณะรัฐประหารนั่นเอง
ไม่มีอะไรต้องกระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป ในเมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดหน้าเล่นถึงขนาดนี้ทั้งที่ตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจด่านักการเมืองชั่วนักการเมืองเลว แต่พอวันที่อนุญาตให้เสนาบดีของตัวเองไปเกลือกกลั้วกับพรรคการเมือง ดันพูดหน้าตาเฉยก็ทุกรัฐบาลเคยทำมาก่อน เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่าการปฏิรูปก็คือการทำตามสิ่งที่นักการเมืองสามานย์ทั้งหลายเคยทำไว้นั่นเอง
เดิมทีก็เข้าใจว่าพวกสีข้างเข้าถูนั่นจะมีแต่พวกนักการเมืองชั่ว ไม่คิดว่าผู้เป็นเผด็จการที่จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้บ้านเมืองและชอบย้ำอยู่เสมอว่าอย่าให้กลับไปเป็นแบบเดิม จะเดินตามรอยสิ่งที่ตัวเองรังเกียจทุกกระเบียดนิ้ว ความจริงเรื่องการเปรียบเปรยว่ารัฐบาลอื่น ๆ ก็เคยทำที่หมายถึงการมีหัวโขนในตำแหน่งบริหารและนั่งเป็นผู้บริหารพรรคการเมืองด้วยนั้น
เป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่แตกต่างกันซึ่งได้บอกมาหลายครั้งหลายหนคือ ที่มาของรัฐบาลต่างกันระหว่างคณะที่ผ่านการเลือกของประชาชนและกลุ่มบุคคลที่ได้อำนาจมาจากปลายกระบอกปืน แต่นั่นอาจจะอธิบายภาพได้ไม่ชัด ดังนั้น จึงจะขยายผลให้เกิดความเข้าใจอย่างกระจ่างคือ รัฐบาลรักษาการที่มาจากการเลือกตั้งนั้นไม่มีอำนาจใด ๆ หลังจากหมดวาระหรือยุบสภาไปแล้ว
อำนาจทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การกำกับของกกต. เหตุผลเพราะป้องกันการสร้างความได้เปรียบในทางการเมือง นั่นหมายความว่า ในช่วงที่เป็นรัฐบาลรักษาการหากต้องการที่จะดำเนินการอะไร ต้องขออนุญาตจากกกต.ทุกครั้ง ซึ่งจะมีทั้งสิ่งที่กกต.อนุมัติและไม่เห็นชอบ และรัฐบาลรักษาการไม่มีสิทธิที่จะตีโพยตีพายหรือดำเนินการใด ๆ กับกกต.
กรณีนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับรัฐบาลเผด็จการคสช. ที่มีอำนาจเต็มมือจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ เห็นได้ชัดจากกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองที่มีผลบังคับใช้ ความจริงแล้วทุกอย่างจะต้องให้กกต.เป็นผู้ชี้ขาดวินิจฉัย แต่กลับมีการใช้คำสั่งหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 เพื่อสั่งการให้กกต.ดำเนินการตามที่คณะเผด็จการเห็นสมควร โดยอ้างเรื่องของความมั่นคง
ประการสำคัญคือ ช่วงมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งรัฐบาลรักษาการจะต้องปฏิบัติตามกกต. แต่ลองไปดูโครงสร้างอำนาจของหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 จะมีอำนาจไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งหมายถึงหัวหน้าคสช.จะทำอะไรก็ได้ สั่งให้ไม่มีการเลือกตั้งก็ได้ หรือสั่งปลดกกต.ก็ได้ถ้าไม่พอใจ กรณีของ สมชัย ศรีสุทธิยากร เป็นตัวอย่างแม้จะเป็นกกต.รักษาการก็ตาม
นี่ไงคือสิ่งที่แตกต่างที่ไม่สามารถนำมาอ้างว่ารัฐบาลที่ผ่านมาก็เคยทำ เพราะรัฐบาลเหล่านั้นทำตามกรอบของกฎหมาย ไม่ได้ทำตามอำเภอใจหรือการตีความเอาว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร พูดให้ชัดคือ แล้วแต่ความพึงพอใจของผู้มีอำนาจพิเศษว่าต้องการจะให้แต่ละเรื่องเป็นอย่างไร เมื่อไม่ได้ลาออกหรือสละซึ่งอำนาจเหล่านั้น แต่กลับถือหางพรรคการเมืองลงสู้ศึกเลือกตั้ง แล้วมันจะมีธรรมาภิบาล เป็นการเลือกตั้งที่เสรี โปร่งใส เป็นธรรมได้อย่างไร
อย่างที่บอกอีกนั่นแหละ คุณสมบัติสำคัญของเผด็จการทั่วโลกคืออย่างหนา ยิ่งเป็นพวกหัวหมออ้างเรื่องข้อกฎหมาย ใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเกราะกำบัง ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างใช้อำนาจเผด็จการอันเกิดจากการตีความของผู้ถืออำนาจและลิ่วล้อล้วน ๆ มันจึงชวนให้คิดกันต่อไปถึงโฉมหน้าของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น การยอมรับจากฝ่ายประชาธิปไตยและนานาประเทศจะมีมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่า กับคำถามที่เกิดขึ้นในห้องเสวนาเรื่องทัศนคตินักศึกษามช.ต่อรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกิจกรรมประกอบการเรียนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ทหารจะเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกครั้งหลังเลือกตั้ง หรือเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง
คำตอบจาก สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มช.ก็คือ คิดว่าตอนนี้พวกเราอยู่ในจุดที่แย่ที่สุดแล้วเมื่อทหารเข้ามายึดอำนาจ หลังจากนี้ทหารก็อาจจะเข้ามาผ่านทางรัฐธรรมนูญ ผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งพอเขาต้องอยู่ในการเมืองที่มีการเลือกตั้ง เขาก็ต้องเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองกลุ่มอื่น ๆ เพราะฉะนั้นการใช้อำนาจแบบดิบ ๆ อย่างเดิมน่าจะเกิดขึ้นได้ยากขึ้น แต่ประเทศไทยไว้ใจไม่ได้ ตนเคยคิดว่าเราจะไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้ แล้วมันก็ยังไปเรื่อย ๆ
ขณะที่ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มช. มองว่า หลังการเลือกตั้งแล้วจะทำให้พลเอกประยุทธ์ต้องเล่นบทประสานผลประโยชน์มากขึ้น แล้วการประสานผลประโยชน์นี้ท้ายสุดก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นได้ และอย่าไปคิดว่ากองทัพบกจะอยู่ข้างหลังพลเอกประยุทธ์ในรัฐบาลต่อไปร้อยเปอร์เซ็นต์
รัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลจากหลายกลุ่มเพื่อสร้างภาวะสมดุล กลุ่มหนึ่งก็คือกลุ่มทหาร อีกกลุ่มคือนักการเมือง อีกกลุ่มคือกลุ่มทุนประชารัฐ ซึ่งคุมไปทั่วประเทศแล้ว ถ้า 3 กลุ่มนี้สามารถสร้างความสมดุลได้ก็จะยังอยู่ได้ แต่ความสมดุลนี้จะอยู่ได้ไหมเมื่อสังคมข้างล่างเปลี่ยนคงต้องคิดกันอีกมาก คนที่จะเป็นนายกฯ ครั้งหน้าหากมาจากฝั่งคสช.ก็ไม่ง่ายที่จะใช้อำนาจดิบแบบที่ใช้มา 4 ปีเพราะต้องดีลกับหลายฝ่าย
แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์หรือข้อทักท้วงมาจากหลายฝ่าย แต่การเดินทางมาถึงจุดนี้ ด้วยการเดินเกมและวางหมากกลไว้อย่างสลับซับซ้อนและเอื้อประโยชน์ให้กับคณะเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างเต็มที่ ถึงจะใช้อำนาจแบบดิบ ๆ อย่างที่ผ่านมากว่า 4 ปีไม่ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าด้วยฤทธิ์เดชของเนติบริกรทั้งหลาย อาจมีการใช้อภินิหารทางกฎหมายเพื่อทำให้เผด็จการสืบทอดอำนาจมีพลังวิเศษ แม้จะเป็นรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วก็ตาม