จบการพักฐานอย่างสวย
ดัชนี SET ปิดตลาดวานนี้อย่างสวยงาม นอกจากมูลค่าซื้อขายที่คึกคักเกิน 6.3 หมื่นล้านบาท และดัชนีปิดบวก จนสามารถยืนเหนือ 1,750 จุดได้อย่างสวยงามแล้ว ยังมีสัญญาณทางเทคนิคแท่งเทียนเป็นเครื่องหมายมอร์นิ่งสตาร์เสียอีก
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
ดัชนี SET ปิดตลาดวานนี้อย่างสวยงาม นอกจากมูลค่าซื้อขายที่คึกคักเกิน 6.3 หมื่นล้านบาท และดัชนีปิดบวก จนสามารถยืนเหนือ 1,750 จุดได้อย่างสวยงามแล้ว ยังมีสัญญาณทางเทคนิคแท่งเทียนเป็นเครื่องหมายมอร์นิ่งสตาร์เสียอีก
จะบอกว่านี่คือการจบรอบพักฐานเร็วเกินคาด ในกรณีดีที่สุด พร้อมจะเป็นขาขึ้นทันที หรือในกรณีปานกลาง อาจจะแกว่งตัว ไซด์เวย์อัพเพื่อรอข่าวดีทะยานขึ้นในระยะต่อไป แต่เรื่องที่จะเห็นดัชนี SET ร่วงหนักหลุดไปใต้ 1,730 จุด ในระยะสั้นนี้ ไม่ควรเกิดขึ้น เว้นแต่มีข่าวร้ายชนิดช็อกโลกเข้ามารบกวน ก็ช่วยไม่ได้
เมื่อวานนี้ แม้ว่าดัชนี SET ตอนเปิดตลาดและเกือบทั้งวันจนกระทั่งบ่ายสามโมงครึ่ง จะทำท่าไม่ดี ร่วงลงไปต่ำสุดลบเกือบ 10 จุด หลังจากตลาดทราบข่าวเฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด 0.25% ซึ่งไม่ถือว่าประหลาดใจ เพราะนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณของสายเหยี่ยวชัดเจนขึ้น โดยไม่สนใจกับเสียงโวยวายของโดนัลด์ ทรัมป์ที่นับวันจะกลายเป็นตัวตลกมากขึ้นเรื่อย
ในแถลงการณ์ของเฟด แม้ยังย้ำว่า ตัวเลขเงินเฟ้อรายปี ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ยังคงต่ำอยู่ใกล้ระดับ 2% ขณะที่ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวบ่งชี้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ความกังวลเรื่องผลกระทบของสงครามการค้าที่อาจจะเร่งให้มีการขึ้นราคาสินค้ากะทันหัน เป็นสิ่งที่ประธานเฟด ได้แสดงชัดในเรื่องการเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีนำเข้า และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ประธานเฟดยอมรับว่ารู้สึกถึงความวิตกกังวลจากภาคธุรกิจทั่วประเทศ เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อไปเป็นเวลานาน หากประเทศต่าง ๆ พากันออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเป็นวงกว้างตามรอยสหรัฐฯ ถือว่าไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
นายพาวเวล ระบุว่า มาตรการเก็บภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยง เพราะอาจทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น มาตรการภาษีจะส่งผลให้บริษัทเอกชนพากันปรับขึ้นราคาสินค้า แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกไม่เอื้ออำนวยต่อการปรับขึ้นราคาสินค้าก็ตาม แม้ว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบว่าอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และเราไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นจริง เฟดก็จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วขึ้น เพื่อรับมือกับสถานการณ์เงินเฟ้อ
ท่าทีของเฟดที่สวนทางกับทำเนียบขาว ตอกย้ำหลักการเรื่อง “ความเป็นอิสระของนายธนาคารกลาง” ชัดเจนอย่างนี้ ทำให้ตลาดมั่นใจได้ระดับหนึ่งก็จริง แต่แรงเทขายหนักในช่วงเปิดตลาดหุ้นไทยวานนี้ ก็มีผลต่ออารมณ์ของนักลงทุนส่วนหนึ่งทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อแรงเทขายหลักมาจากฟันด์โฟลว์ และกองทุน ที่เน้นหนักในหุ้นกลุ่มบลูชิพเดิมที่คุ้นเคยกัน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร และพลังงาน
เพียงแต่นักลงทุนระดับพอร์ตโบรกเกอร์และส่วนบุคคลขาใหญ่ ที่มีประสบการณ์สะสมยาวนานแสดงความรู้เท่าทันขึ้นมา ส่งผลให้ดัชนีที่ร่วงลงลึกใกล้แนวรับสำคัญ 1,740 จุด เกิดการรีบาวด์กลับกลายเป็นปิดบวก เพราะเชื่อมั่นว่าจากนี้ไป ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะต้องหวนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยระลอกใหม่ เพราะเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะเผชิญกับปรากฏการณ์ “ขาดดุลแฝด” (Twin Deficit) เหมือนบางประเทศในตลาดเกิดใหม่
การขาดดุลแฝด เป็นศัพท์ใช้เรียก ภาวะเศรษฐกิจมหภาค ที่มีการขาดดุลการคลังของภาครัฐ และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดพร้อมกันในขณะเดียว
การขาดดุลการคลังเกิดจากรัฐบาลมีการใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ทำให้ต้องชดเชยการขาดดุลโดยการกู้ยืม จะทำให้อุปสงค์การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้นแบบเทียม และอุปสงค์การนำเข้าเพิ่มขึ้นด้วย แต่ส่งผลให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้นและทำให้เงินเฟ้อได้
ข้อแรกนี้รัฐบาลไทยปัจจุบันได้สร้างขึ้นมาหลายปีต่อเนื่อง แม้มีเสียงวิจารณ์ตามมา แต่ไม่มีผลอะไร เพราะเสียงค้านไม่มีอำนาจต่อรองในมือ
ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เกิดจากการขาดดุลสุทธิของดุลการค้า ดุลบัญชีบริการ ดุลรายได้จากการลงทุนระหว่างประเทศ และดุลเงินโอนระหว่างประเทศ ซึ่งสาเหตุหลักมักมาจาก การขาดดุลการค้า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จะทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการรองรับความเสี่ยงและความเชื่อมั่นของผู้ที่จะเข้ามาลงทุน
ข้อหลังยังไม่มีวี่แววเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยเลย แต่กลับตรงกันข้าม เพราะค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากการที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงมาก และดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกต่อเนื่อง แถมเงินเฟ้อต่ำ จนกระทั่งต่างชาติมองว่าเป็นแหล่งลี้ภัยของทุนที่ดีเยี่ยม ต่างจากชาติตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ
แม้ว่าเกือบ 7 เดือนที่ผ่านมา ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะขายสะสมสุทธิในตลาดหุ้นไทยเกินกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ไม่ได้หายไปไหนเพราะเพียงแค่หลบเข้าไปในตลาดตราสารหนี้ รอเวลาหวนย้อนคืนมาครั้งใหม่เมื่อถึงเวลา
ที่ผ่านมา ในต้นเดือนกันยายนนี้ แรงซื้อจากกองทุน ผสมโรงกับฟันด์โฟลว์ต่างชาติ สามารถสร้างภาวะการซื้อขายที่เรียกว่า breaking out หรือ breakouts ในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากที่รอคอยมานานหลายเดือนนับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสำคัญของรอบใหม่คือ เหนือแนวต้าน 1,800 จุด เพียงแต่มาติดแนวต้านทางเทคนิคแรก ที่ไม่สามารถผ่าน 1,760 จุด ส่งผลให้เกิดการพักตัวชั่วคราว
การพักตัวหลังจาก breaking out ถือเป็นการถอนหายใจช่วงตลาดขาขึ้น เพื่อลดความร้อนแรง จนเมื่อตลาดเริ่มซึมซับข่าวร้ายมากขึ้น (ไม่จำเป็นต้องเข้าเขตขายมากเกินเสมอไป) แรงซื้อจะกลับมาโดยอัตโนมัติ ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานปัจจัยของตลาดหรือคุณภาพของสินค้าหรือหลักทรัพย์แต่อย่างใด
การแกว่งตัวลงแล้วพลิกกลับเป็นปิดบวกวานนี้ ตอกย้ำว่าขาขึ้นรอบใหญ่ของตลาดหุ้นไทยยังไม่จบสิ้น เป้าหมายที่เหนือ 1,800 จุด ยังเป็นไปได้
นี่คือสัญญาณของการเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานระลอกใหม่ ที่ขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ของนักลงทุนแต่ละรายเอง
ขอให้โชคดีในการล่า แต่ระวังอย่าตกเป็นผู้ถูกล่าเสียเองเพราะโดนกับดัก “สวรรค์คนโง่” (Fool’s Paradise) จนเกิดเหตุ “ขาดทุนขาขึ้น” ก็แล้วกัน