พลังอำนาจรัฐ
ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป 4 รัฐมนตรีเปิดตัวเป็นผู้นำพรรคพลังประชารัฐ พาที่ปรึกษารัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี มานั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร ไม่มีอะไรผิดความคาดหมาย เพียงเซอร์ไพรส์อยู่บ้าง ที่อิทธิพล คุณปลื้ม กับ 3 อดีต กปปส.โผล่ไปร่วมอย่างภาคภูมิ
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป 4 รัฐมนตรีเปิดตัวเป็นผู้นำพรรคพลังประชารัฐ พาที่ปรึกษารัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี มานั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร ไม่มีอะไรผิดความคาดหมาย เพียงเซอร์ไพรส์อยู่บ้าง ที่อิทธิพล คุณปลื้ม กับ 3 อดีต กปปส.โผล่ไปร่วมอย่างภาคภูมิ
เซอร์ไพรส์เพราะคิดว่าจะทำอะไรเนียนกว่านี้ นี่เพิ่งใช้ ม.44 ตั้งสนธยา คุณปลื้ม เป็นนายกเมืองพัทยา และเพิ่งตั้งพุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ เป็นรองเลขาธิการนายกฯ โดยอ้างว่า ไม่ใช่เรื่องการเมือง ไม่ได้ใช้อำนาจต่างตอบแทน
คงเห็นคนไทยกินหญ้ากินแกลบ จึงทำอะไรหน้าตาเฉย แป้งไม่บางเลย ถึงขนาดนั้น
ถามจริง ยังมีใครเชื่อบ้าง ที่อ้างว่าสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ไม่เกี่ยว ไม่ใช่พรรคทหาร ไม่ได้ตั้งขึ้นมาสืบทอดอำนาจ และยังไม่รู้ว่าจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หรือไม่
มีใครเชื่อบ้าง ว่าจะไม่ใช้อำนาจรัฐมนตรี อำนาจรัฐบาล อำนาจ คสช. ม.44 เอาเปรียบพรรคคู่แข่ง จึงสามารถเป็นผู้บริหารพรรคได้ อย่างสง่างาม โดยไม่ต้องลาออก จากรัฐมนตรี
อย่าอ้างเลยว่า นักการเมืองทุกยุคทุกสมัยก็ไม่ต้องลาออกระหว่างหาเสียง เพราะนักการเมืองไม่มี ม.44 ไม่ได้อยู่ในสถานะพิเศษเหมือนนักการเมืองจากรัฐประหารชุดนี้ ซึ่งวิษณุ เครืองาม พูดชัดแล้วว่าไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ที่จะทำอะไรต้องขออนุญาต กกต. รัฐบาลรัฐประหารได้สิทธิพิเศษจากรัฐธรรมนูญ 2560 ประชุม ครม.สัญจรได้ อนุมัติงบประมาณได้ สั่งย้ายข้าราชการได้ มิพักต้องกล่าวถึง ม.44 ที่อยู่เหนือ กกต.โดยสัมบูรณ์
มิพักต้องกล่าวถึงทหาร ตำรวจ กอ.รมน. ที่ยังตรึงกำลังเต็มพื้นที่ โดยอ้างความสงบ มหาดไทย ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กระชับสั่งการกำนันผู้ใหญ่บ้าน
ถามจริง อะไรคือจุดแข็งของพรรคพลังประชารัฐ ถ้าไม่ใช่เป็นพรรคของอำนาจพิเศษ ที่กระชับกลไกรัฐทุกระดับไว้ในมือ หลังเผด็จอำนาจมานานกว่า 4 ปี
จุดแข็งคือนักการเมืองเกรดบีอย่างสามมิตร?คือทีมเศรษฐกิจที่ใครบางคนเย้ยหยันว่า “ของก๊อปไร้เกรด” อย่างนั้นหรือ หัวร่อตายเลย
หลังรัฐประหาร 2549 สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยร่วมกับสมศักดิ์ เทพสุทิน ตั้งพรรคมัชฌิมาธิปไตยมาแล้ว ผลเป็นไงก็เห็นกันอยู่ สมคิดเป็นแค่นักการตลาด ไม่ใช่นักยุทธศาสตร์ ไม่ใช่คนคิดนโยบายอะไรด้วยซ้ำ ตั้งแต่ยุคไทยรักไทยถึงยุคนี้ พูดง่าย ๆ คือ ทำงานใหญ่ด้วยตัวเองไม่ได้
สำมะหาอะไรกับอุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, สุวิทย์ เมษินทรีย์, กอบศักดิ์ ภูตระกูล ซึ่งเห็นภาพยิ้มแย้มให้สัมภาษณ์แล้วก็ขำ ประเมินตัวเองผิดหรือเปล่า การเป็นรัฐมนตรีรัฐประหาร ไปทางไหนก็มีแต่ข้าราชการพินอบพิเทา พ่อค้านักธุรกิจเอาใจ ซื้อโฆษณาแล้วสื่อก็เขียนเชียร์ ฯลฯ แค่นั้นยังไม่เพียงพอหรอกที่จะเป็นนักการเมือง เดี๋ยวลงสนามจะรู้ ว่าของจริงเป็นไง
เอาแค่อุตตม เคยเป็นบอร์ดแบงก์กรุงไทย ปล่อยกู้กฤษดาธานนท์ แล้วตัวเองชิ่งไปเป็นพยาน คิดหรือว่าจะไม่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาใหม่
นักการเมืองสามมิตร นอกจากอื้อฉาวข่าวพลังดูด ภาพลักษณ์แกนนำ ส่วนใหญ่ก็เป็นนักการเมืองแถวสองแถวสาม หวังพึ่งอำนาจ ซึ่งในทางกลับกัน ก็จะเป็นเป้าให้จ้องจับ
ภายใต้ภาพใหญ่โต ก็เป็นเป้าใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการแสดงเจตนาเบียดขับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่เพื่อไทย หากรวมถึงประชาธิปัตย์ ในทางกลับกัน ก็จะถูกกระหนาบทุกข้าง
นับจากนี้ 4 รัฐมนตรี ท่านผู้นำ และทั้งรัฐบาล จะถูกจับตาทุกอย่าง ว่าใช้อำนาจใช้งบประมาณหาเสียงเอาเปรียบพรรคอื่นหรือไม่อย่างไร