พาราสาวะถี
เมื่อคิดการใหญ่นอกจากจะใจถึงแล้วยังต้องหน้าทนและอดทน อดทนที่จะตอบคำถามซึ่งเป็นข้อกังขาของคนในสังคม ดังเช่น 4 รัฐมนตรีของรัฐบาลเผด็จการคสช. ซึ่งไปนั่งเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เพื่อการสืบทอดอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นไปด้วยความสง่างาม
อรชุน
เมื่อคิดการใหญ่นอกจากจะใจถึงแล้วยังต้องหน้าทนและอดทน อดทนที่จะตอบคำถามซึ่งเป็นข้อกังขาของคนในสังคม ดังเช่น 4 รัฐมนตรีของรัฐบาลเผด็จการคสช. ซึ่งไปนั่งเป็นหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เพื่อการสืบทอดอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมุ่งหวังว่าจะเป็นไปด้วยความสง่างาม
วันนี้คำตอบที่เราได้จากฝ่ายถือครองอำนาจ จึงไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย กฎหมายไม่ได้ห้ามและไม่ได้ใช้เวลาราชการไปทำงานกับพรรคการเมือง เหมือนที่ อุตตม สาวนายน ปฏิเสธตอบคำถามของนักข่าวล่าสุดปมสละเก้าอี้เสนาบดี “ผมไม่คุยเรื่องการเมืองในเวลาราชการ” ขณะที่หัวหน้าทีมผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ท่องคาถาอ้างหลักการไม่มีข้อห้ามทางกฎหมาย และส่งเสริมคนรุ่นใหม่ไปปฏิรูปการเมือง
ส่วนท่านผู้นำนั้น วันนี้ทั้งก่อนและหลังประชุมครม.คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะตอบคำถามของนักข่าว แต่อยู่ที่ว่าจะตอบออกมาแบบไหน ด้วยท่าทีที่พยายามปรับเปลี่ยนทำตัวให้ดูสุขุมนุ่มลึก เราจึงอาจจะไม่ได้เห็นท่วงทำนองกระโชกโฮกฮากเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะต้องสะกดข่มทุกอารมณ์โดยเฉพาะความโกรธแม้จะถูกยั่วยุอย่างไรก็ตาม
ฝ่ายครองอำนาจเพื่อจะสืบทอดตามแนวทางที่วางกันไว้ด้วยความคิดที่ว่าแนบเนียนแยบยลสุด ๆ แล้ว คงทำได้แค่ประคองตัว ไม่ออกอาการเพื่อเข้าทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ก็น่าสนใจต่อความเห็นต่างที่กระทุ้งกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งข้อสังเกตบนหลักการและเหตุผลที่ต้องยอมรับกันว่า หลักแหลมและคมกริบ ชนิดคนที่ถูกพาดพิงเลือดไหลซิบ ๆ ทีเดียว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ชี้ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐก็คือ กำลังหลบเลี่ยงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งความเสื่อมทางการเมืองและปัญหาวิกฤติในอดีต ก็เป็นเพราะมีการหาช่องโหว่ของกฎหมาย ไม่ดูเจตนารมณ์ ไม่ยึดถือเรื่องของมารยาทและธรรมาภิบาล ปุจฉาต่อมาคือ คนที่เกี่ยวข้องที่จะเข้าไปบริหารพรรคการเมืองซึ่งมีส่วนได้เสียในการเลือกตั้งโดยตรง ต้องแสดงให้เห็นว่ายังเชื่อในหลักธรรมาภิบาล หรือเคารพในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมากกว่าที่จะบอกว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามหรือไม่ผิดกฎหมายหรือไม่
ข้อพิจารณาสำคัญคือ เวลานี้บรรดาพรรคการเมืองทั้งหมดกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่ได้รับการปลดล็อกทางการเมือง แต่งานของรัฐบาลมีงานการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ได้ถูกจำกัดด้วย ดังนั้น เมื่อนำพาตัวเองเข้าไปอยู่กับพรรคการเมืองจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่มีส่วนได้เสียในการแข่งขัน เหตุใดจึงไม่ทำตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เหตุใดจึงเลือกที่จะสวมหมวก 2 ใบ
สิ่งที่อภิสิทธิ์ท้าและเชื่อว่าคนในรัฐบาลคงไม่มีใครตอบก็คือ คนเหล่านั้นกล้าปฏิเสธหรือไม่ว่าไม่ได้มีการใช้สถานที่ของตัวเองสร้างความได้เปรียบทางการเมือง หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดูดอดีตนักการเมือง หรือมีข้อตกลงเรื่องของตำแหน่งและงบประมาณ เรื่องเหล่านี้ชัดเจนแล้วในกรณีของ สนธยา คุณปลื้ม อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ตรงนี้เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่
การพยายามอ้างกฎหมายโดยบอกว่าลงสมัครส.ส.ไม่ได้และก็ไม่ได้ลงสมัครด้วย แต่เจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายที่เขียนกันมาคือการไม่เอาเปรียบทางการเมือง การพยายามไปตีกรอบว่าเป็นเรื่องการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ได้ คนที่เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคสามารถเป็นรัฐมนตรีอีกได้ ถ้ายิ่งเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งชัดว่ามีส่วนได้เสียในการเมืองอย่างชัดเจน
เหมือนที่บอกมาก่อนหน้า การให้เนติบริกรโยนหินถามทางพร้อมพูดเปิดทางมาตลอด เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐมนตรีที่จะไปนั่งบริหารพรรคการเมือง กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาแล้วว่า นี่เป็นการเลี่ยงบาลี ใช้ชั้นเชิงในข้อกฎหมายมาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง พร้อม ๆ กับการโยนขี้ไปที่พฤติกรรมของนักการเมืองในอดีต ทั้ง ๆ ที่เมื่อพิจารณาที่มาแห่งอำนาจแล้วต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้ความเห็นจาก ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล จึงชวนให้คิดต่อ รัฐบาลนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา แต่อาศัยความขัดแย้งทางการเมืองฉวยยึดอำนาจ จึงมีลักษณะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ และมีความจำเป็นต้องรักษาความเป็นกลาง การสืบทอดอำนาจด้วยการออกกติกาที่เอียงให้ประโยชน์แก่พวกของตน และการสวมหมวก 2 ใบ จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
รัฐบาลที่มาในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนี้ การจะอ้างว่าปฏิบัติตัวเป็นธรรม เท่าเทียมกันทุกฝ่าย การอ้างอย่างเดียวยังไม่พอ แต่จำเป็นต้องนำเสนอภาพที่ย้ำประเด็นนี้อย่างชัดเจนด้วย ภาษาอังกฤษเรียกว่า not only to be fair, but also to be seen to be fair ขณะเดียวกันรัฐบาลปฏิวัติในอดีตส่วนใหญ่จะแยกบทบาทระหว่างผู้ที่ทำปฏิวัติกับผู้ที่บริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีจึงมีสัดส่วนนักวิชาการและมืออาชีพมากกว่า
แต่ในยุคคสช.เน้นพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ไว้ใจได้ ส่วนคนนอกก็มาด้วยการสนับสนุนจากนายทุนระดับชาติ ดังนั้น นอกจากจะขาดการถ่วงดุลแล้ว ผลงานทางเศรษฐกิจจึงรวยกระจุกจนกระจาย เพราะมีหลายโครงการที่ประเคนสิทธิหรือทรัพย์สินของรัฐให้แก่นายทุนระดับชาติ และยิ่งอยู่นานกว่ารัฐบาลปฏิวัติในอดีตหลายเท่า โครงการทำนองนี้ก็ผุดขึ้นเป็นวงเงินลงทุนมหาศาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน แน่นอนว่าเมื่อฉายภาพมาอย่างนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าเหตุใดพรรคการเมืองที่ชื่อพลังประชารัฐจึงทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง
มาถึงนาทีนี้ เมื่อผู้มีอำนาจไม่สนใจข้อครหาชิงเองกินเอง เดินหน้าขับเคลื่อนการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจอย่างเต็มที่ เสียงวิจารณ์ที่จะตามมาหากเป็นไปด้วยความหนักหน่วงและรุนแรงขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ท่านผู้นำต้องพึงยอมรับ พร้อมแสดงความใจกว้างที่จะไม่โยนให้ฝ่ายความมั่นคงใช้การตีความเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ยิ่งเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่อ้างว่าเป็นยุคแห่งการปฏิรูปด้วยแล้ว ความสามานย์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและตัวเองพร้อมองคาพยพแสดงความรังเกียจมาโดยตลอดยิ่งต้องไม่มีเป็นอันขาด