พาราสาวะถี

ไม่ต้องเรียกร้องอะไร 4 รัฐมนตรีที่ไปนั่งบริหารพรรคพลังประชารัฐไม่มีทางฟังเสียงทักท้วง เพราะมีหน้าที่ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าเผด็จการเท่านั้น ก็ขนาดบางคนพูดเป็นมั่นเหมาะไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด ไม่ถนัดงานการเมือง คล้อยหลังไม่ทันไรก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า กลับลำกันได้ขนาดนี้แล้วจะไปถามหาธรรมาภิบาล มารยาททางการเมืองเพื่ออะไร ฟังที่ผู้นำเผด็จการตอกกลับนักข่าววันวาน “ผมเป็นรัฐบาลนี้อย่ามาบอกว่าต้องมีธรรมาภิบาล สมัยคุณเป็นคุณมีหรือไม่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”


อรชุน

ไม่ต้องเรียกร้องอะไร 4 รัฐมนตรีที่ไปนั่งบริหารพรรคพลังประชารัฐไม่มีทางฟังเสียงทักท้วง เพราะมีหน้าที่ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าเผด็จการเท่านั้น ก็ขนาดบางคนพูดเป็นมั่นเหมาะไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด ไม่ถนัดงานการเมือง คล้อยหลังไม่ทันไรก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า กลับลำกันได้ขนาดนี้แล้วจะไปถามหาธรรมาภิบาล มารยาททางการเมืองเพื่ออะไร ฟังที่ผู้นำเผด็จการตอกกลับนักข่าววันวาน “ผมเป็นรัฐบาลนี้อย่ามาบอกว่าต้องมีธรรมาภิบาล สมัยคุณเป็นคุณมีหรือไม่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ในแง่ของหัวหน้าเผด็จการทุกอย่างอ้างข้อกฎหมายตลอด กอดหลักการแบบนี้โดยที่ตัวเองพร้อมคณะเผด็จการก็ลอยตัว เนื่องจากมีการนิรโทษกรรมให้กับทุกการกระทำไว้แล้วทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามถูกใช้กระบวนการตีความกฎหมายเล่นงานกันเสียสะบักสะบอม โดยเฉพาะพรรคคู่แข่งสำคัญอย่างเพื่อไทย ไม่มีใครมั่นใจว่าก่อนเลือกตั้งจะไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง

เรื่องการดูดอดีตส.ส.พอเห็นรายชื่อคณะผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐและบรรดาอดีตส.ส.ที่ไปร่วมวงไพบูลย์ พอจะอุ่นใจกันได้ส่วนใหญ่ยังเหนียวแน่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะย้ายแล้วมีโอกาสสอบตกสูง ยอมให้ดูดแล้วตอบคำถามประชาชนฐานเสียงในพื้นที่ยาก สิ่งสำคัญเมื่อนายใหญ่เล่นบทยอมหักไม่ยอมงอ เลยทำให้หงอกันไปไม่น้อยเหมือนกัน

ประเด็นของการดูดที่เดินสายก่อนหน้านี้ มีการโชว์รายชื่อสารพัดตั้งแต่อดีตส.ส.เกรดเอไปจนถึงเกรดซี แต่มาถึงนาทีนี้เป็นที่ยืนยันเหมือนอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้าแค่ปั่นกระแส สร้างราคา เพราะไม่เพียงแต่คนของพรรคนายใหญ่เท่านั้นที่สมัครใจอยู่ต่อ บรรดาสมาชิกของพรรคภูมิใจไทยต่างก็พากันมาสารภาพกับ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่เพิ่งได้รับเลือกให้นั่งเป็นผู้นำพรรคไปหมาด ๆ ชื่อที่ไปปรากฏในลิสต์ของกลุ่มสามมิตรเป็นการแอบอ้างล้วน ๆ

เรื่องพรรค์นี้เสี่ยหนูคงรู้ดีว่าเป็นจริงอย่างที่ลูกพรรคพยายามอธิบายหรือเปล่า บอกไว้แล้ว ถ้าไม่นับพรรคเพื่อไทยที่ใครก็ยากจะตีจาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีเพราะบางพวกอยู่ก็ลำบาก จากไปก็เพราะมีชนักปักหลังเปิดช่องให้ถูกฝ่ายมีอำนาจใช้ต่อรองได้ ก็มีพรรคภูมิใจไทยนี่แหละที่นอกจากจะไม่เสียเด็กในคาถาให้กับพลังดูดแล้ว ยังเนื้อหอมมีคนมารุมตอมกันจำนวนมาก

เห็นได้จากการมาของ 2 อดีตส.ส.จากชาติไทยพัฒนาไม่ว่าจะเป็น ชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตส.ส.อุทัยธานี “ลูกยอด” ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ อดีตส.ส.พิจิตร ล่าสุด ยังได้ พงษ์พันธุ์ สุนทรชัย อดีตส.ส.หนองคายหลายสมัยจากค่ายเพื่อไทยมาร่วมงานด้วย ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม ไม่เพียงเท่านั้นยังมีพวกเสือซุ่มที่รอเวลาเหมาะสมจะเปิดตัวให้ฮือฮาอีกจำนวนหนึ่ง

เป็นปกติสไตล์เสี่ยหนูกับคำถามที่ว่าหลังเลือกตั้งจะจับมือกับพลังประชารัฐหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ต้องรอดูเมื่อทราบผลการเลือกตั้ง ตอนนี้เป็นเรื่องยากที่จะตอบ ก่อนจะปล่อยมุกหากได้ 251 เสียง ก็พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่น่าสนใจคือ พรรคภูมิใจไทยจะเสนอชื่ออนุทินเพียงรายเดียวเท่านั้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่ใช้เต็มจำนวน 3 คนที่กฎหมายระบุไว้

ต้องยอมรับกันว่าพรรคของเสี่ยหนูนั้น นอกจากคุณสมบัติที่ยืดหยุ่นไม่เป็นศัตรูกับใครแล้ว ส่วนตัวของหัวหน้าพรรคก็มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อาจจะด้วยความเป็นนักธุรกิจที่บริษัทซึ่งนั่งบริหารจะต้องใช้คอนเน็คชั่นเป็นสำคัญ จึงเพาะบ่มศัตรูไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่หลายพรรคการเมืองถูกพลังเผด็จการเล่นงาน ภูมิใจไทยจึงอยู่สบายและเป็นที่ไว้วางใจของใครต่อใครในยามที่ต้องตัดสินใจเลือกซ้ายก็เจ็บเลือกขวาก็จบ

ช่วงนี้นอกจากการขยับของบรรดาพรรคการเมืองใหม่ เพื่อที่จะดำเนินการงานธุรกรรมต่าง ๆ ให้เรียบร้อยทันการเลือกตั้งแล้ว พรรคเก่าทั้งหลายต่างก็พากันเดินหน้ารับสมัครสมาชิกกันจ้าละหวั่น ถูกจับตากว่าใครเพื่อนคงเป็นประชาธิปัตย์ เพราะสมาชิกที่รับสมัครมันจะสัมพันธ์กับการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค ซึ่ง ณ เวลานี้ยังมีแค่ 3 รายชื่อคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วรงค์ เดชกิจวิกรม และ อลงกรณ์ พลบุตร

อย่างไรก็ตาม จากเงื่อนไขการเปิดรับสมัครสมาชิกของพรรคเก่าแก่ที่จะเปิดรับไปจนถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้ โวยมาจากกลุ่มหนุนหมอวรงค์โดยอ้างว่าพรรคทำให้การสมัครสมาชิกเกิดความยุ่งยาก เป็นการเพิ่มโอกาสให้อภิสิทธิ์ได้รับชัยชนะมากขึ้น ขณะที่อีกฝั่งก็ยืนยันวิธีการที่ใช้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายและจะทำให้พรรคได้สมาชิกตามธรรมชาติ แทนการจัดตั้งเพื่อหวังผลในการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค

เป็นธรรมดาของพวกประเภทไก่เห็นตีนงู ที่รอดูกันอยู่คือเมื่อถึงช่วงโค้งสุดท้ายแล้วบรรยากาศจะเข้มข้น ดุเดือดเลือดสาดหรือไม่ เพราะแค่แบนเนอร์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ที่ถูกเผยแพร่ล่าสุด เลือกวรงค์ได้ถาวร เสนเนียม เลือกอภิสิทธิ์ได้ศิริโชค โสภา และเทพไท เสนพงศ์ แค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าเวลาต้องชิงชัยกันมันต้องใช้สารพัดวิธี ไม่ต้องมาเกรงใจด้วยเหตุผลคนกันเอง

นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของคนพรรคเก่าแก่ ยามแก่งแย่งแข่งขันก็จะเอาจริงเอาจังไม่สนใจว่าใครเป็นใคร แต่พอเสร็จศึกทุกอย่างก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หนนี้ไม่แน่ใจว่าวัฒนธรรมองค์กรที่เคยเป็นมาจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่ ต้องไม่ลืมว่า การช่วงชิงกันก่อนหน้าบรรดากองหนุนทุกคนล้วนเป็นสมาชิกพรรคที่หลังเสร็จศึกก็ต้องทำงานด้วยกันต่อไป ทว่าคราวนี้มันมีตัวละครภายนอกที่ถูกมองว่าแอบชักใยอยู่เบื้องหลัง ถ้าไม่จบ ความสงบหลังคลื่นลมแรงเหมือนที่ผ่านมาอาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

พรรคการเมืองทั่วไปอาจไม่มีใครสร้างปัญหาให้กับผู้มีอำนาจและกกต. แต่ไม่ใช่กับ “พรรคเกียน” ของ “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ ที่หลังจากได้รับอนุญาตจากกกต.ให้ดำเนินการเรื่องจัดตั้งพรรคได้แล้ว แค่ชุดที่แต่งไปวันรับหนังสือจากกกต.ก็เรียกเสียงฮือฮาได้แล้ว ยังมีโจทย์ใหญ่สำหรับว่าที่หัวหน้าพรรคคือการปลดล็อกบัญชีเงินฝากของตัวเองที่ถูกอายัด มิเช่นนั้น จะเป็นปัญหาในการเปิดบัญชีเพื่อจัดตั้งพรรคของตัวเอง ว่าแล้วเจ้าตัวก็จะไปดักพบท่านผู้นำตามจังหวะและโอกาสที่คิดว่าจะเจอตัว

แค่ประกาศเท่านี้ก็เล่นเอาหน่วยงานด้านความมั่นคงเช็กข่าวกันวุ่น ต้องส่งทีมไปตามประกบตัวบก.ลายจุดกันอย่างใกล้ชิด หากปล่อยให้เข้าใกล้ตัวนายได้อาจจะเดือดร้อนกันทั้งคณะ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภาวะความกลัวของฝ่ายผู้มีอำนาจ เพราะความจริงคดีของสมบัติที่นำมาซึ่งการถูกอายัดบัญชีจบถึงชั้นศาลฎีกาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเลิกอายัด เห็นเช่นนี้แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าพรรคที่ถือหางอยู่จะไม่เอาเปรียบพรรคอื่น ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นคู่แข่งสำคัญ

Back to top button