พาราสาวะถี
เพราะ 4 รัฐมนตรีทำให้รัฐบาลคสช.กลายเป็นตำบลกระสุนตกที่ว่าด้วยเรื่องของมารยาทและธรรมาภิบาล แต่สำหรับฝ่ายที่เตรียมการกันไว้เป็นอย่างดี เต็มที่ก็แค่ตีมึน แล้วอ้างโน่นอ้างนี่ ที่แน่ ๆ คือหากกระแสรุนแรงจนทำท่าว่าจะเสียรังวัด จากที่คิดกันไว้แล้วว่าจะลาออกก่อนที่กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้ อาจต้องเปิดตูดไปไวกว่าที่กะเกณฑ์ว่าจะโชว์สปิริตให้เหนือนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวกันกระมัง
อรชุน
เพราะ 4 รัฐมนตรีทำให้รัฐบาลคสช.กลายเป็นตำบลกระสุนตกที่ว่าด้วยเรื่องของมารยาทและธรรมาภิบาล แต่สำหรับฝ่ายที่เตรียมการกันไว้เป็นอย่างดี เต็มที่ก็แค่ตีมึน แล้วอ้างโน่นอ้างนี่ ที่แน่ ๆ คือหากกระแสรุนแรงจนทำท่าว่าจะเสียรังวัด จากที่คิดกันไว้แล้วว่าจะลาออกก่อนที่กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้ อาจต้องเปิดตูดไปไวกว่าที่กะเกณฑ์ว่าจะโชว์สปิริตให้เหนือนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวกันกระมัง
ไม่ใช่เฉพาะแต่เสียงจากคนภายนอกที่ถามถึงมารยาทและความสง่างามของ 4 รัฐมนตรีกับการอยู่ต่อ แต่ข่าวคนใกล้ชิดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปกดดันให้ทั้งสี่คนไขก๊อก จนกระทั่งเกิดข่าวรัฐมนตรีบางรายเริ่มเก็บของจากห้องทำงานแล้วนั้น นี่ก็เป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งว่าต่อให้ดันทุรังกันขนาดไหนแต่ในอีกมุมก็เป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่าการทนทู่ซี้โดยยกสารพัดเหตุผลมาอ้างนั้น มันไม่ได้ช่วยให้คะแนนเสียงดีขึ้น
ตรงข้ามกลับทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีและไม่รู้ว่าเมื่อก้าวขาเข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเต็มตัวแล้วจะโดนอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม เพื่อสยบข่าวเก็บของเตรียมไขก๊อก กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯและโฆษกพลังประชารัฐ จึงลงทุนพาสื่อไปทัวร์ห้องทำงานเพื่อยืนยันว่า ข่าวที่เกิดไม่เป็นความจริง พร้อม ๆ กับยอมรับว่า เป็นหน้าใหม่ทางการเมืองแต่ก็โดนรับน้องอย่างหนัก
หากเป็นมุมของนักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามนั่นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะจากที่ฟังกอบศักดิ์ตอบโต้ พรรคการเมืองกดดันเรื่องนี้มากหวังว่าเมื่อลาออกจากตำแหน่งแล้วทุกพรรคการเมืองจะยึดมาตรฐานนี้เช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเป็นงานและไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้รับตำแหน่งกระบอกเสียงของพรรคสืบทอดอำนาจ
แต่ที่ต้องพึงระวังไว้กันให้มาก หาใช่พวกตรงข้ามไม่ ฝ่ายเดียวกันเองนี่แหละคือตัวปัญหา ยิ่งการจัดสรรปันส่วนอำนาจไม่ลงตัวด้วยแล้ว ในความเป็นนักการเมือง จะได้เห็นเงาร่างความอำมหิตเกิดขึ้นทันทีทันใด ในยามที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอาจทุบโต๊ะชี้หน้าให้เลิกราต่อกันได้ แต่ในยามที่ต้องต่อรองเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อำนาจที่ตัวเองอยากได้ใคร่มี ต้องยอมกันขนาดไหนลองไปถาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูได้เมื่อคราวนำรัฐบาลเทพประทาน
ส่วนที่ยึกยักก่อนหน้า พร้อมการปล่อยข่าวว่ามีปัญหาจัดผู้สมัครส.ส.เขตไม่ลงตัว นั่นก็แค่ละครเรียกเรตติ้งคนดู เพราะเอาเข้าจริงกลุ่มสามมิตรที่เหลือแกนนำอย่าง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ยังไม่ไปร่วมงานกับพลังประชารัฐ วันวานก็ให้โฆษกพรรคออกมาส่งสารพร้อมจะนำสมาชิก 70 คนมีทั้งอดีตส.ส. นักการเมืองท้องถิ่นและนักธุรกิจเข้าซบพรรคสืบทอดอำนาจในสัปดาห์หน้า
ความจริงไม่ต้องบอกกล่าวอะไรคนเขาก็รู้กันมาตั้งแต่เห็นกระบวนท่าการเคลื่อนไหวกันแล้ว สิ่งที่ทำกันต่อจากนี้ก็แค่พิธีกรรม ทำให้สมจริงแหกตาประชาชนว่าทุกอย่างไม่ได้มีการฮั้ว ไม่มีการเตี๊ยมเตรียมการอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น นี่ก็อีกหนึ่งพฤติกรรมของนักการเมืองรุ่นเก่าที่ชอบคิดว่าทุกท่วงท่าไม่มีใครจับได้ไล่ทันหรือแม้จะเห็น ๆ กันอยู่ก็ตีหน้ามึน แกล้งโง่กันเอาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น
ขณะที่ 4 รัฐมนตรีและคนในรัฐบาลที่พากันอ้างว่า การนั่งบริหารพรรคการเมืองเป็นเรื่องส่วนตัว ตราบใดที่ไม่ใช่เวลาราชการไปสร้างประโยชน์ให้กับพรรค ตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าทำให้เสียโอกาสในการบริหารประเทศหรือไม่ กับการที่ อุตตม สาวนายน ลาราชการครึ่งวันเพื่อไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับพรรคที่กกต. ความจริงเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่ถามว่าเสียเวลาการทำงานเพื่อบ้านเมืองไปไหม ตรงนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรกันแล้ว
ความจริงประเด็นข้อกฎหมายหรือหลักการใด ๆ เกี่ยวกับ 4 รัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องฟังคำตอบจากประธานกกต.อย่าง อิทธิพร บุญประคอง เพราะแม้แต่เด็กอมมือก็เข้าใจได้ จะอย่างไรก็ไม่มีความผิด แต่สิ่งที่คนถามถึงคือความเหมาะสมและมารยาททางการเมือง โดยเฉพาะกับรัฐบาลที่มาจากปลายกระบอกปืนและมีอำนาจเต็มไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แถมพกด้วยมาตรายาวิเศษอย่างม.44
ถ้าพูดให้เห็นภาพก็บอกว่า หากเป็นรัฐบาลปกติกกต.คือผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาล ทุกอย่างจะต้องขออนุญาตทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายและการใช้จ่ายงบประมาณ ประทานโทษสำหรับรัฐบาลเผด็จการอย่าว่าแต่ไม่อยู่ใต้อำนาจของกกต. ยังสามารถที่จะสั่งให้กกต.ออกจากตำแหน่งได้ในทันทีด้วย นี่ไงคือสิ่งที่มันแตกต่างจากการเที่ยวอ้างเรื่องรัฐบาลที่ผ่านมาทำได้และนักการเมืองเคยทำ แล้วทำไมพวกเผด็จการจะทำไม่ได้
ข้อทักท้วงต่าง ๆ นั้นพูดกันไปมากแล้ว เห็นด้วยกับ เกษียร เตชะพีระ ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลว่า FAKE GOVERNANCE! โปกเยภิบาล (โปเก+อภิบาล) งานปฏิรูปการบริหารระบบราชการและเปลี่ยนแปลงประเทศอันยิ่งใหญ่ของเรา โดยออกตัวก่อนว่า ปกติก็ไม่อยากด่าอย่างหยาบร้าย และก็ทราบว่าด่าไปก็ไลฟ์บอย ไม่เป็นผลอะไร แต่เห็นที่ผู้มีอำนาจทำ ๆ และพูด ๆ แก้ตัวกันอย่างหน้าด้าน ๆ แล้ว “เหลืออดครับ”
“สงสารลูกศิษย์ลูกหาเราที่ต้องเข้าไปทำงานยิ้มหน้าชื่นรับคำโกหกหน้าไหว้หลังหลอก พูดอย่างทำอย่างเหล่านี้ ตอนพวกเขาเรียนกับเรา เราบอกสอนให้พวกเขาซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อวิชาการและวิชาชีพ แต่อย่างแรกที่เขาต้องทำในอาชีพราชการคือหัดมองไม่เห็น พูดไม่จริงและกะล่อนกับตัวเอง ครูบาอาจารย์อย่างเราจะทำอะไรได้ นอกจากด่าครับ”
โดยที่ก่อนหน้านั้นอาจารย์เกษียรก็ได้โพสต์ตำหนิการเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐ โดยระบุว่า “ธรรมาภิบาลเอย Thailand 4.0 เอย ต่อต้านทุจริตเอย สิทธิมนุษยชนเอย บลาบลาบลา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มีคำขลังโฆษณาชวนเชื่ออันใดบ้างไหมที่พวกเขาเขียนด้วยมือ พล่ามด้วยปากแล้ว ไม่กระทืบจมดินหายไปด้วยตีนตัวเอง” ถือเป็นความเห็นที่ชัดเจนและจบโดยไม่ต้องต่อยอดใด ๆ
นี่แค่ 4 รัฐมนตรีออกโรงยังเกิดเสียงครหาขนาดนี้ ถ้าหัวขบวนแสดงตัวเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ตามมาหนักหน่วงขนาดไหน คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ อย่างที่บอกมาโดยตลอดไม่ว่าเผด็จการที่ใดในโลก คุณสมบัติอันโดดเด่นคือหน้าด้านหน้าทนไม่สนข้อทักท้วง ไม่มองว่าสิ่งที่เสนอนั้นหวังดีหรือไม่ ยิ่งคิดและเชื่อว่าตัวเองนั้นดีสุด ๆ เหนือใครด้วยแล้ว ความเห็นที่แตกต่างจึงถูกมองเป็นศัตรูทั้งสิ้น