พาราสาวะถี
จริงอย่างที่ วัฒนา เมืองสุข ว่า กฎหมายเป็นมาตรกำหนดพฤติกรรมขั้นต่ำ ส่วนจริยธรรมเป็นมาตรกำหนดพฤติกรรมขั้นสูงที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ผู้ได้รับการขัดเกลา แต่กับบางคนแม้กระทั่งมาตรวัดขั้นต่ำก็ยังทำตามไม่ได้ ฉีกกติกาขั้นต่ำทิ้งแล้วกำหนดกติกาใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์และสืบทอดอำนาจ นับวันนอกจากปฏิรูปไม่เห็นเปลี่ยนแปลงไม่เกิด ทุกอย่างยังเป็นการเดินตามนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวทุกกระเบียดนิ้ว
อรชุน
จริงอย่างที่ วัฒนา เมืองสุข ว่า กฎหมายเป็นมาตรกำหนดพฤติกรรมขั้นต่ำ ส่วนจริยธรรมเป็นมาตรกำหนดพฤติกรรมขั้นสูงที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ผู้ได้รับการขัดเกลา แต่กับบางคนแม้กระทั่งมาตรวัดขั้นต่ำก็ยังทำตามไม่ได้ ฉีกกติกาขั้นต่ำทิ้งแล้วกำหนดกติกาใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์และสืบทอดอำนาจ นับวันนอกจากปฏิรูปไม่เห็นเปลี่ยนแปลงไม่เกิด ทุกอย่างยังเป็นการเดินตามนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวทุกกระเบียดนิ้ว
ท่วงทำนองการขับขาน การดึงจังหวะเวลา อ้างสารพัดเหตุผล ไม่ได้ต่างจากนักการเมืองในอดีตที่ถูกเรียกร้องให้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อสังคมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับสถานะโดยเฉพาะตำแหน่งฝ่ายบริหารประเทศ ซึ่งก็ไม่เคยได้เห็นการแสดงสปิริตใด ๆ หลายคนจึงคาดหวังกับยุคปฏิรูปไว้มาก จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
แต่เอาเข้าจริง นอกจากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน กระบวนท่ากลับมากไปด้วยเล่ห์กลอันเป็นผลมาจากการใช้บริการของเนติบริกรในทุกองคาพยพ ดังนั้น ทุกเรื่องจึงอ้างข้อกฎหมายเป็นหลังพิง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลายเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎหมาย หากแต่เป็นเรื่องของสำนึกล้วน ๆ หรือจะพูดให้โก้หรูก็อย่างที่ท่านผู้นำและลิ่วล้อชอบยกมาสร้างความน่าเชื่อถือคือยึดหลักธรรมาภิบาล
การตอบคำถามที่ว่าต่อไปไม่ต้องมาถามเรื่องนี้อีก สะท้อนภาพได้อย่างชัดเจนว่ามีการยึดถือเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดหรือไม่ สุดท้ายได้พิสูจน์แล้วจากการที่มีรัฐมนตรีของตัวเองไปนั่งเป็นผู้บริหารพรรคการเมือง ท่ามกลางการเรียกร้องของสังคมว่า ควรจะยกระดับนักการเมืองในยุคปฏิรูปให้สูงกว่านักการเมืองที่ผ่านมา แต่ท่านผู้มีอำนาจก็รีบอ้างว่าเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล
การที่ออกมาส่งสัญญาณว่า ยังไม่ถึงเวลาแต่ถ้าได้จังหวะ 4 รัฐมนตรีจะไขก๊อกสร้างบรรทัดฐานให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งหลายได้ใช้เป็นแบบอย่าง ปุจฉาคือทำไมต้องรอ รอเพื่ออะไร เพื่อให้ตัวเองสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ เพื่อใช้ตำแหน่งฝ่ายบริหารเดินสายพร้อมท่านผู้นำ ทำตัวเองให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างในทุกภูมิภาคก่อนใช่ไหม
ทุกคำถามไม่ใช่สิ่งที่ท่านผู้นำจะแสดงความโมโหโกรธา เหมือนอย่างเช่นที่ปรี๊ดแตกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากออกทัวร์ชมกรุง “ล้อรางเรือ” ทั้ง ๆ ที่อารมณ์ดีมาทั้งวัน พอขึ้นท่าเรือเทวราชกุญชร นักข่าวถามเรื่องนายกรัฐมนตรีคนนอก หัวหน้าเผด็จการก็เม้งแตกทันที เขาเลิกพูดไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องมาถามคำถามแบบนี้อีก
เล่นเอาสงสัยกันทั้งบางเขาที่ว่าคือใครกัน เพราะคนยังกังขากันอยู่เลยว่า ท่านผู้นำจะกลับมาสืบทอดอำนาจด้วยวิธีไหน ถ้าแค่สนใจไม่เล่นการเมืองต่อก็บอกให้ชัด หรือทั้งสนใจและจะสืบทอดอำนาจ แต่ไม่ประสงค์จะเป็นนายกฯคนนอก โดยจะมาในรูปแบบเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตของพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดก็บอกให้ชัด
หรือถ้าจะเป็นนายกฯคนนอก โดยอาจอ้างเหตุผลว่าถ้าพรรคการเมืองเลือกนายกฯกันไม่ได้ ตนยินดีที่จะถูกเสนอชื่อให้รับตำแหน่ง บอกกันแค่นี้นักข่าวจะได้เลิกถาม และสังคมก็จะไม่ต้องมาคอยเคลือบแคลง ทุกอย่างมันจะชัดว่า หลังการเลือกตั้งทิศทางของการเมืองมันจะเดินไปในรูปแบบใด แต่เมื่อไม่ทำ ใช้วิธีอมพะนำ ตีเนียนไปวัน ๆ ไม่ว่าจะรักษาฟอร์ม สร้างภาพให้ดูสุขุมนุ่มนวลอย่างไร สุดท้ายก็ต้องตบะแตกจนได้
พฤติกรรมแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนตระบัดสัตย์กลับมาเล่นและเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างออกหน้า ทั้ง ๆ ที่วันซึ่งนับม็อบปิดประเทศลั่นวาจาไว้เสียดิบดี ยกระดับตัวเองกลายเป็นนักการเมืองน้ำดีที่ไร้ตำหนิ ขาวสะอาด พอเอาเข้าจริงด้วยสันดานที่มันสั่งสมจนเข้าสายเลือด ก็หาเหตุที่จะอ้างว่าจำใจต้องกลับมาสู่สนามการเมืองเพื่อสร้างแนวทางใหม่ให้กับประชาชน
ผู้คนยุคโซเซียลมีเดียไม่ได้กินหญ้า ใครพูดอะไร ทำอะไรไว้ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะถูกบันทึกและพร้อมที่จะขุดขึ้นมาประจานได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะพยายามซักล้างตัวเองอย่างไร ด้วยเหตุผลเลิศหรูขนาดไหน คนที่เชื่อก็จะมีแต่พวกที่หลับหูหลับตาเชียร์เท่านั้น ขณะที่คนส่วนใหญ่ที่รู้กำพืดดีต่างพากันส่ายหน้าเป็นแถว
จะเรียกว่ารู้แกวก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่าเห็นไปถึงไส้ในโดยที่ไม่ต้องอ้าปากพูดอะไรกันแล้ว เช่นเดียวกัน ฝ่ายผู้กุมอำนาจ ทุกท่วงทำนองที่พยายามจะหาข้ออ้างมาชี้แจงกับประชาชน ถ้านอกเหนือจากความจริงใจแล้ว สิ่งที่สัมผัสได้ในมุมของประชาชนล้วนแล้วแต่เป็นข้อแก้ตัวเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดีเท่านั้น และทั้งหมดมันจะถูกพิสูจน์ในวันเลือกตั้ง หากไม่มีการใช้วิธีการอื่นใดเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นอย่างอื่น
คึกคักไม่น้อยสำหรับการเปิดรับสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดอดไปสมัครตั้งแต่วันแรก ด้วยเหตุผลเป็นห่วงลูกศิษย์ทั้ง 2 คนนั่นก็คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล แต่เจ้าตัวประกาศชัดไม่ลงสมัครส.ส.ด้วยเหตุผลแก่แล้ว ทุกท่วงทำนองจากนี้ไปเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนจะคอยให้คำชี้แนะเป็นแนวทาง
ขณะที่หัวหน้าพรรคอย่างธนาธรประกาศลั่น “ผมไม่เคยพูดถึงการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ขอย้ำอีกครั้งว่าการประกาศปักธงการเมืองกับเรื่องคะแนนเสียงเป็นเรื่องเดียวกัน เราไม่ได้มองแค่อำนาจ แต่มีเป้าหมาย 3 ข้อ คือ หยุดการสืบทอดอำนาจของคสช. แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และล้มล้างมรดกคณะรัฐประหาร ผมต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น จึงทำได้”
เราไม่ได้ฝันอยากมีอำนาจเพื่อมีอำนาจ แต่อยากมีเพื่อเอาอำนาจนั้นไปเปลี่ยนแปลงสังคม ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ปีหน้าเป็นต้นไป อนาคตใหม่จะเปิดรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่มีเงื่อนไขต้องใช้เสียงส.ว.แต่งตั้ง 1 ใน 3 ในการเห็นชอบด้วย เพราะหลังการเลือกตั้งแล้ว องค์กรที่เรียกว่าคสช.จะหายไป ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาเป็นล้านคนได้ การกดดันให้ส.ว.แต่งตั้งเห็นพ้องกับประชาชน ต้องยกมือเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็เป็นไปได้ น่าสนใจว่าอุดมการณ์ของคนรุ่นใหม่จะเป็นจริงได้หรือเป็นแค่เพียงความฝัน