เมื่อทุนสำรองจีนลดฮวบ
ถ้าไม่นับความตื่นตระหนกของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง กรณีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงฮวบฮาบในเดือนกันยายน จำต้องได้รับการพิจารณาในมุมอื่น ๆ บ้าง เพราะอาจจะไม่ใช่ข่าวร้ายเสมอไป
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
ถ้าไม่นับความตื่นตระหนกของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง กรณีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนที่ลดลงฮวบฮาบในเดือนกันยายน จำต้องได้รับการพิจารณาในมุมอื่น ๆ บ้าง เพราะอาจจะไม่ใช่ข่าวร้ายเสมอไป
วันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนหรือ PBOC รายงานตัวเลขทุนรำรองเงินตราระหว่างประเทศเดือนกันยายน พบว่าเดือนเดียวลดลงไปมากถึง 2.269 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลืออยู่ที่ระดับ 3.087 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุผลที่ใช้อธิบายการร่วงลงฮวบฮาบ คือ เงินทุนไหลออกมาก และการเสื่อมค่าของเงินหยวน
การลดลงของทุนสำรอง หลังจากที่พุ่งทำหลักหมุดสูงสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นภาพสะท้อนแนวทางการบริหารเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพของธนาคารกลางจีนได้ดี ในยามที่สงครามการค้ามีแนวโน้มบานปลาย
สิ้นเดือนมิถุนายน เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนมีมูลค่าทั้งสิ้น 3.20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 30.3 เนื่องจากการเกินดุลการค้าทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในครึ่งปีแรก ผสมโรงเข้ากับการลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติก็ได้พุ่งสูงขึ้นร้อยละ 23.4 นอกเหนือจากการชำระเงินด้วยเงินหยวนในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี 2559 นับเป็นปัจจัยใหม่ที่กระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่มหาศาล แทนที่จะเป็นผลดี กลับเป็นแรงกดดัน เพราะได้ส่งผลให้ค่าเงินหยวนถูกนานาชาติเรียกร้องให้ลดค่า และไม่ให้ทางการจีนบิดเบือนค่าหยวน ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากในการปรับนโยบายการเงินจีนอย่างผ่อนคลายต่อไป และคาดว่าอาจจะมีการเพิ่มอัตราเงินฝากสำรองของธนาคารพาณิชย์เพื่อควบคุมคุณภาพสินเชื่อ
ปัญหาเรื่องปริมาณของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจึงเป็นการเมืองระดับนโยบายระหว่างประเทศอย่างเลี่ยงไม่พ้น และเป็นนโยบายระหว่างประเทศที่มีความหมายมากกว่าปกติ
นับตั้งแต่ปี 2542 ทุนสำรองฯ ของจีนมีปริมาณเพิ่มทวีคูณอย่างน่าตื่นใจ จนกระทั่งทางการจีนจำต้องหาทางระบายออกไปซื้อกิจการและสินทรัพย์ต่าง ๆ เชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทำในรูปดอลลาร์ จนกระทั่ง PBOC ของจีนกลายเป็นเจ้าหนี้ของสหรัฐฯ อันดับหนึ่ง
ความมั่งคั่งจากทุนสำรองฯ ล้นเกิน ทำให้จีนเริ่มต้นถูกมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกรวมหัวเล่นงาน ด้วยการสร้างข้อเรียกร้องให้จีนต้องเพิ่มความรับผิดชอบต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกมากขึ้นไปด้วย ซึ่งกุญแจสำคัญได้แก่ 1) การปรับค่าเงินหยวนให้เข้าสู่พื้นฐานความเป็นจริงให้มากที่สุด 2) รักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในเอาไว้ให้เหมาะสม
ความจำเป็นทำให้จีนเริ่มมาตรการปรับค่าเงินหยวนให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับค่าดอลลาร์สหรัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งใช้วิธีการนำทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศส่วนเกินเข้าไปกว้านซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันเพื่อพยุงค่าดอลลาร์ไม่ให้อ่อนตามสภาพความเป็นจริง ซึ่งช่วยได้ในระดับหนึ่ง ในช่วงที่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนยังคงแข็งแกร่ง
สี่ปีที่ผ่านมา อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงทำให้จีนต้องเผชิญกับการปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอันมหาศาลของจีนกำลังลดลงในอัตรามากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นแนวโน้มที่อาจจะกระทบต่อสภาพคล่องของระบบสินเชื่อของโลกได้ในอนาคต
ที่ผ่านมา ปริมาณเงินทุนสำรองฯ ของจีนได้ลดลงจากสองสาเหตุหลักคือ 1) การนำทุนสำรองฯ มหาศาลเข้าไปแก้ปัญหาฟองสบู่ตลาดหุ้นพังทลายในปี 2558 2) การไหลของเงินทุนออกจากจีนในปี 2559 แต่ทุกอย่างก็ได้ผ่านไปด้วยดี จนทำให้ทุนสำรองฯ กลับมาเพิ่มพูนระลอกใหม่ได้ แต่ปีนี้เหตุปัจจัยเดิมเปลี่ยนไปแล้ว
ประเด็นปัญหาทุนสำรองฯ ล้นเกินของจีนในปัจจุบันและอนาคต จึงอยู่ที่การหาทางตอบโจทย์ใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิมว่า แผนการเดินหน้าทำให้เงินหยวนท่องโลกในตลาดเงินลอยตัวในฐานะเงินสกุลสากลของโลกระยะที่สองของจีน มีจังหวะก้าวที่รวดเร็วมากน้อยแค่ไหน และจะสอดรับความต้องการรักษาค่าเงินหยวนให้มีเสถียรภาพด้วย
การลดลงของทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจีนช่วงนี้ แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการแต่งตัวเลขแบบ ลับ-ลวง-พราง หรือไม่ แต่ก็น่าจะมีส่วนลดแรงกดดันให้ค่าเงินหยวนอ่อนตัวลงในยามที่สงครามการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อ “ใช้โลกล้อมจีน” มีท่าทีบานปลายและยืดเยื้อ
ที่สำคัญลดแรงกดดันให้ธนาคารกลางจีนต้องออกมาตรการบังคับธนาคารพาณิชย์ตั้งสำรองเพิ่มเพื่อควบคุมคุณภาพสินเชื่อ แถมยังเปิดช่องให้ล่าสุดอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ลดการตั้งสำรองเผื่อหนีสงสัยจะสูญเป็นครั้งที่สี่ของปี โดยเพดานลดตั้งสำรองอาจจะมากถึง 1% ด้วยซ้ำ ช่วยให้เศรษฐกิจและธุรกิจเดินหน้าสู้มรสุมในช่วงสงครามการค้าได้คล่องตัวขึ้น นอกเหนือจากสินค้าจีนจะขายดีขึ้นในตลาดโลกนอกสหรัฐฯ
ผลพวงทางบวกของการลดทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนครั้งนี้มาได้จังหวะพอดี เพราะขนาดลดลงแล้วยังมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่ดี มากกว่าญี่ปุ่นที่เป็นอันดับสองของโลกกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ทีเดียว