หลุด 1,600 จุดไหม
วานนี้ดัชนีหุ้นไทยลงอีก 35.19 จุด และมาปิดระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนครึ่งคือ 1,623.37 จุด
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
วานนี้ดัชนีหุ้นไทยลงอีก 35.19 จุด และมาปิดระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือนครึ่งคือ 1,623.37 จุด
ส่งผลให้ 5 วันทำการ ดัชนีร่วงลงมาแล้ว 74.5 จุด
มีคำถามว่า แล้วจะลงต่ออีกไหม
เท่าที่พุดคุยกับนักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่จะมองว่า มีโอกาสอย่างมากที่จะลงต่อได้อีก
และก็มีโอกาสที่จะลงไปต่ำกว่า 1,600 จุด
ในระยะสั้นหรือ 2 วันที่เหลือของสัปดาห์นี้ ดัชนีอาจรีบาวด์หรือปรับขึ้นได้บ้าง
หรือหากสัปดาห์นี้ยังไม่ปรับขึ้น สัปดาห์หน้าก็จะปรับขึ้น
ทว่า จะเป็นการดีดตัวเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
ในระยะยาว หรือไปจนถึงสิ้นปี 2561 ดัชนียังมีโอกาสที่จะเป็นขาลงได้อีก เพราะปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้ายังกดดันอย่างหนัก
ย้อนหลังกลับไปที่ดัชนีจุดต่ำสุดเดิมของปี 2561
เกิดขึ้น ณ วันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนีลงไปแตะที่ระดับ 1,584 จุด ก่อนจะขยับขึ้นมาปิด 1,595 จุด
ตลาดหุ้นที่ร่วงลงไปขณะนั้น มาจากการเริ่มต้นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ที่ได้เริ่มประกาศเก็บภาษีจากจีนมูลค่า 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นแหละ
ผลจากสงครามการค้าของประเทศยักษ์ใหญ่
ทำให้ “สินทรัพย์ลงทุนในตลาดหุ้น” มีความสี่ยงสูงขึ้น
ผ่านมาถึงวันนี้หลาย ๆ ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) เริ่มยอมรับแล้วว่า ต่างได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากันแล้ว
ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นของประเทศต่าง ๆ ก็ออกมายอมรับเช่นนั้น
ของไทยเอง ล่าสุด หรือนับจากต้นปี มาถึงเมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิแล้วกว่า 262,573 ล้านบาท
เงินที่ขายออกไปจากตลาดหุ้นไม่ได้มีการโยกไปไว้ยังตลาดหุ้นแห่งไหนต่อเลยครับ
แต่กลับเข้าไปยังตลาดพันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ดูไม่ค่อยดีนัก
คำแนะนำของนักวิเคราะห์ มีอยู่หลายแนวทาง
เช่นปรับพอร์ตแล้วหันมาถือเงินสดมากขึ้น
หรือเลือกตัวหุ้นที่อิงกับปัจจัยภายในประเทศจริง ๆ มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และไม่ได้รับผลกระทบกับการส่งออก
หรือแบบเล่นสั้น ก็เน้นไปที่หุ้นแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 และ 4 จะออกมาสวยงาม
แต่ก็ไม่รู้ว่า จะได้ผลแค่ไหน เพราะเมื่อภาวะตลาดโดยรวมมันรูดลงไป ก็เกิดการแพนิกเซลไปยังหุ้นเกือบทั้งกระดาน พากันหัวทิ่มหัวตำกันไปหมด
ผ่านมาถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครสรุปได้แน่นอนว่า ดัชนีจะลงไปจุดต่ำสุดที่ระดับใดกันแน่
เพราะแนวรับของดัชนี และหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น หลุดแนวรับที่เป็นสัญญาณทางเทคนิคลงมาแล้ว ซึ่งก็ต้องไปควานหาแนวรับต่อไปกันใหม่เรื่อย ๆ
อีกแนวทางที่แนะนำกันคือ ไปซื้อหุ้นปันผลมากขึ้น
เช่น พวกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เจ๋ง ๆ อย่าง BTSGIF, DIF ที่ราคาหุ้นไม่ค่อยผันผวนมากนัก และเงินปันผลสูง
ส่วน JASIF แม้เงินปันผลจะสูงแต่ราคาหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างมาก
ดัชนีหุ้นไทยที่ลงมาอย่างหนักในช่วง 5 วันทำการ
ทำให้มาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตลาดหุ้นไทยวูบลงมาแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท หรือจาก 17.1 ล้านล้านบาท (16 ต.ค.) ลงมาเหลือ 16.5 ล้านล้านบาท (25 ต.ค.)
ขณะที่หุ้นไอพีโอ ที่มาเข้าเทรดในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนัก
โดยเฉพาะตัวใหญ่ ๆ อย่าง โอสถสภา หรือ OSP ที่หลุด (ราคา) จองไปแล้ว
ส่วนตัวอื่น ๆ ก็มีทั้งหลุดและปริ่ม ๆ น้ำอยู่
หันมาดูปัจจัยในประเทศ ก็ยังไม่มีอะไรใหม่ เว้นแต่ บจ.ใหญ่ ๆ จะมีกำไรมากกว่าคาดการณ์ (ซึ่งยากมาก ๆ)
ตอนนี้หลาย ๆ คนเริ่มจะไม่ได้มองว่า สิ้นปีดัชนีจะขึ้นไปแตะที่ระดับใดแล้ว
แต่ต้องมาลุ้นกันว่า จะลงไปถึงไหนมากกว่า