พาราสาวะถี
กลายเป็นกระแสแต่คงหนีไม่พ้นถูกดำเนินคดีสำหรับศิลปินใต้ดิน “Rap Against Dictatorship” เจ้าของเพลง “ประเทศกูมี” เพราะคนในรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง รวมไปถึงบรรดากองเชียร์ทั้งหลายเห็นตรงกัน ผิดกฎหมายเห็น ๆ โดยเฉพาะนายตำรวจผู้มีบทบาทอย่างสูงในรัฐบาลนี้ทุกคดีจะมีหัวโขนให้ใช้ไปจัดการได้ในทุกเรื่อง
อรชุน
กลายเป็นกระแสแต่คงหนีไม่พ้นถูกดำเนินคดีสำหรับศิลปินใต้ดิน “Rap Against Dictatorship” เจ้าของเพลง “ประเทศกูมี” เพราะคนในรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง รวมไปถึงบรรดากองเชียร์ทั้งหลายเห็นตรงกัน ผิดกฎหมายเห็น ๆ โดยเฉพาะนายตำรวจผู้มีบทบาทอย่างสูงในรัฐบาลนี้ทุกคดีจะมีหัวโขนให้ใช้ไปจัดการได้ในทุกเรื่อง
นั่นก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ล่าสุด ใช้หัวโขนรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฟันธงฉับผู้ที่ดำเนินการทำเพลงดังกล่าวถือว่าผิดอยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิสูจน์และคาดว่าสัปดาห์นี้จะทราบตัวบุคคลชัดเจน
ก่อนจะชี้แจงต่อว่า จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับดำเนินคดีในความผิดพระราชบัญญัติการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท เพราะทำให้ประเทศเสียหาย ต้องว่ากันไปตามนั้น ยิ่งนายตำรวจที่ได้ชื่อว่าเป็นคอหอยกับลูกกระเดือกของผู้กุมชะตากรรมงานด้านความมั่นคงของเผด็จการคสช.แล้ว ย่อมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปไม่ได้
ก่อนที่จะไปฟังความเห็นของนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินคดีศิลปินกลุ่มนี้ มีความเห็นของคนทั่วไปที่น่าสนใจคือ เพลง ๆ นี้มีอะไรที่ไม่จริงบ้าง และถ้าถามย้อนกลับไปว่ามีบางเพลงที่เปิดกรอกหูคนไทยมานานกว่า 4 ปี จนต้องยกเลิกไปเพราะไม่อาจทำตามสัญญาได้ เช่นนี้น่าจะเป็นภัยความมั่นคงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่
แต่ก็อีกนั่นแหละ การจะไปเรียกร้องอะไรกับเผด็จการที่ไม่ชอบความเห็นต่างเป็นเรื่องยาก ดังนั้น คงต้องฟังความเห็นของนักวิชาการที่วางตัวเป็นกลางอย่างแท้จริง เริ่มที่ เกษียร เตชะพีระ ที่โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ “ประเทศเรามี:เราต้องเลิกโกหกตัวเองตั้งแต่บัดนี้” โดยระบุว่า น้อยครั้งที่ตนได้ฟังเพลงแล้วน้ำตาไหลถึงสะอึกสะอื้น เพราะคลื่นเสียงถ้อยคำถูกทุ่มถล่มทะลักจากปากนักร้องเข้าหาโสตประสาทของเราไม่หยุดหย่อนตลอดเวลากว่าห้านาที
มันเป็นความอัปลักษณ์ อุบาทว์ เลวร้าย หน้าไหว้หลังหลอก โหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ปลิ้นปล้อนตลบตะแลง หน้าด้าน ถ่อยเถื่อน ไร้ยางอาย ฯลฯ ที่ล้วนเป็นความจริง ที่เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตลอดสี่ปีที่ผ่านมา แล้วเราไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะพูดออกมาอย่างที่เราเห็น วิจารณ์ออกมาอย่างที่เราคิด ด่าว่าสาปแช่งออกมาอย่างที่เรารู้สึก เพราะผู้มีอำนาจไม่ต้องการฟัง
แล้ววันหนึ่งวันนี้พวกเราก็ได้ยินได้ฟังมันจริง ๆ จากปากของผู้คนที่รักประเทศ จนทนดูความเลวร้ายเหล่านั้นอย่างนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ แล้วออกมาพูดตรงไปตรงมาว่า “ประเทศกูมี” ใช่ครับ ไม่เพียงประเทศของพวกเขา มันยังเป็นประเทศเดียวกันของพวกเราด้วย และประเทศของเรามีอย่างนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ต่อให้จับคนร้องคนฟังไปขังให้หมดทั้งประเทศก็ตาม ก็ไม่อาจเปลี่ยนหรือจับกุมคุมขังความจริงนั้นได้
ก่อนที่อาจารย์เกษียรจะตบท้ายว่า เมืองไทยมาถึงวินาทีที่เราสบตากันโดยไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียวก็เข้าใจกันได้ว่าเรากำลังอยู่กันอย่างไร ประเทศเรามีอะไร เราจะรักประเทศ แก้ไขกอบกู้ประเทศเราจากความล้มละลายทางศีลธรรมได้ ต้องเริ่มจากยอมรับความจริงของสิ่งที่ประเทศเรามีก่อนตั้งแต่บัดนี้ เราอาจจะไม่สามารถบอกให้ผู้มีอำนาจเลิกโกหกเรา แต่เราต้องเลิกโกหกตัวเองตั้งแต่บัดนี้
ขณะที่ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กเช่นเดียวกันว่า ถ้าจะบอกว่าเพลงนี้กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ ก็ต้องแยกแยะก่อนว่าความมั่นคงของรัฐกับความมั่นคงของรัฐบาลเป็นคนละเรื่องกัน เราไม่ควรจะ “ชังชาติ” หรือ “ว่าร้าย” ประเทศตัวเอง แต่การพูดถึงปัญหาของประเทศตนเอง ไม่ได้หมายความว่าเป็นการให้ร้ายประเทศเสมอไป ถ้าความตั้งใจคือการวิจารณ์รัฐบาลที่บริหารประเทศว่าทำไมทำให้เกิดปัญหานั้น
ในมุมของปริญญาเห็นว่าเพลงนี้ก็เป็นแค่การวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้ถึงกับทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ และจะว่าไปเพลงนี้ก็คือเพลงเพื่อชีวิตแบบสมัย 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ นั่นแหละ แต่เป็นดนตรีแบบสมัยนี้ ข้อเท็จจริงในเพลงเพื่อชีวิตสมัยก่อนก็ไม่ได้ตรงทุกเรื่อง หลายเพลงที่มีเนื้อหาคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ปัจจุบันก็ยังร้องอยู่ ไม่ได้เป็นปัญหาตรงไหน
จะว่าไปความจริงที่ฉายภาพชัดจากปากคำของ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ น่าจะอธิบายปรากฏการณ์ที่มีต่อเพลงดังกล่าวนี้ได้ กล่าวคือตัวเผด็จการไม่ได้อ่อนไหวกับเพลงที่มีเนื้อหาวิจารณ์มากเท่ากองเชียร์ ระบอบเผด็จการอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนเชียร์ กองเชียร์คือผู้ทำทุกอย่างให้เขาอยู่ได้ เผด็จการอยู่ไม่ได้ด้วยกระสุน ดังนั้น คนที่อ่อนไหวและสะเทือนไม่ใช่คนข้างบน แต่คือคนที่ยึดมั่น ถือมั่น เชื่อว่าคนที่เขาส่งขึ้นไปอยู่ข้างบน ยังอยู่ได้
คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ถือหางเผด็จการคงเชื่ออย่างที่อาจารย์พิชญ์เชื่อนั่นแหละ นั่นก็คือ ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าคนอย่างพลเอกประยุทธ์จะโกรธหรือไม่ แต่คนรอบตัวที่พยุงหัวหน้าเผด็จการไว้กลับสะเทือน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ คนที่ออกมาเป็นแนวหน้าของหัวหน้าคสช.หลาย ๆ คนคือกองเชียร์ที่ล้วนสะเทือนทั้งสิ้น แต่เผด็จการไม่ได้สะเทือน
เรื่องนี้ถ้าคณะเผด็จการต้องการจะสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง ต้องนำความเห็นของอาจารย์ปริญญาไปใคร่ครวญให้หนัก ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติในทุกสังคม การที่เราเห็นไม่เหมือนกันไม่ใช่ปัญหา เราไม่รักกันและไม่ต้องเข้าใจกันก็ได้ แต่ต้องเคารพกัน ถ้าเคารพกันต่อให้ไม่เข้าใจกันก็ยังรักกันได้ หรืออย่างน้อยจะอยู่ร่วมประเทศกันได้อย่างสันติ
เราจะเห็นด้วยหรือเห็นต่าง ก็อย่าขับไล่ไสส่งหรือเผด็จการต่อกันและกันเลย และนี่แหละคือรากฐานของความสำเร็จของประชาธิปไตยหรือการปกครองตนเองของเจ้าของประเทศ แต่มุมนี้ของปริญญาคงใช้ไม่ได้กับคณะเผด็จการ ที่ไม่ได้ต้องการให้ประชาธิปไตยเป็นอย่างที่อาจารย์ว่า หากแต่ประชาธิปไตยในมุมของคนเหล่านี้คือพวกตนเองได้ปกครองเจ้าของประเทศต่างหาก