พาราสาวะถี

ใครกันขอร้องให้ท่านต้องมาหน้าด้านหน้าทน การพล่ามบ่นล่าสุดของผู้นำเผด็จการเหมือนจะเป็นการเรียกร้องคะแนนความสงสาร แต่ถามกันตรง ๆ หากเลือกที่จะเป็นทหารที่เกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก มันจะต้องมาประสบกับสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่ หรือถ้าจำใจต้องรัฐประหารแล้วไม่สืบทอดอำนาจมันก็จะต้องมานั่งทุกข์ใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า


อรชุน

ใครกันขอร้องให้ท่านต้องมาหน้าด้านหน้าทน การพล่ามบ่นล่าสุดของผู้นำเผด็จการเหมือนจะเป็นการเรียกร้องคะแนนความสงสาร แต่ถามกันตรง ๆ หากเลือกที่จะเป็นทหารที่เกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก มันจะต้องมาประสบกับสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่ หรือถ้าจำใจต้องรัฐประหารแล้วไม่สืบทอดอำนาจมันก็จะต้องมานั่งทุกข์ใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่หรือเปล่า

เหล่านี้มีคำตอบอยู่ในตัว เมื่อเลือกที่จะลอกคราบเผด็จการแล้วจำแลงตัวเองเป็นนักการเมือง ที่จะว่าไปแล้วก็เป็นมาตั้งแต่ก้าวขาขึ้นเป็นผู้บริหารประเทศแล้ว การเลือกสืบทอดอำนาจด้วยสารพัดวิธีที่คิดว่าแนบเนียน จึงไม่มีเหตุอันใดที่ท่านผู้นำจะต้องมาด่าทอต่อว่าโดยเฉพาะกับสื่อที่ติดตามทำข่าวหรือบรรดาคอลัมนิสต์ที่วิพากษ์วิจารณ์

เพราะการเป็นนักการเมือง ยิ่งเป็นนักการเมืองที่ต่อยอดมาจากอำนาจเผด็จการที่ตัวเองใช้ตำแหน่งผบ.ทบ.ไปยึดอำนาจมาจากรัฐบาลประชาธิปไตย เรียกได้ว่าลงทุนน้อยกว่านักการเมืองมืออาชีพหลายเท่าตัวนัก มิหนำซ้ำ ยังวางกลไกต่าง ๆ ไว้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้องอย่างเต็มที่ เอาเปรียบคู่แข่งขันทุกประตู การอ้างว่าใช้ความดีเข้าสู่ ก็แค่วาทกรรมยกตัวเองให้เหนือกว่าผู้อื่นเท่านั้น

ความเป็นจริงความดีจะมายกยอปอปั้นตัวเองไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเป็นผู้ตัดสิน คงไม่มีมนุษย์รายใดที่จะบอกว่าตัวเองเลว และยิ่งนิยามของความดีด้วยแล้ว มันไม่อาจจะทึกทักหรือคิดเอาเองได้ว่านี่เป็นการทำดีแล้ว และจะต้องได้รับผลตอบแทนตามที่ตัวเองปรารถนา เพราะบางเรื่องที่คิดว่าดี อาจจะดีไม่พอหรือดีแค่พรรคพวกตัวเอง แต่ไม่เกิดประโยชน์กับคนอื่นหรือส่วนรวม

ดังนั้น การจะก้าวเดินต่อไปบนถนนการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องแค่ใช้ความดีเข้าสู่เท่านั้น หากแต่มันหมายถึงการต่อสู้กับคู่แข่งแบบแฟร์ ๆ ไม่เอาเปรียบ ไม่มัดมือชกหรือจ้องที่จะหาเหตุเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือเดินต่อไปไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นต่อให้ได้ตำแหน่งอันยิ่งใหญ่มา ก็ไม่สง่างามและยากที่ผู้คนจะยกย่อง สรรเสริญ

บางครั้งก็พอจะเข้าใจได้สำหรับคนที่คิดว่ามีผลงานบานตะไท แต่หันซ้ายแลขวาก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจประชาชน มิหนำซ้ำ ยังถูกโจมตีด้วยว่าไร้ผลงานโดยเฉพาะกับการแก้ปัญหาปากท้อง ของพรรค์นี้แค่ความตั้งใจ บวกกับการขายฝันของทีมงานที่คิดว่าผลิตนโยบายอันเลิศเลอแล้ว ทั้งที่ความจริงไปลอกเขามา เท่านี้ยังไม่เพียงพอ เพราะคนไม่อาจสัมผัสจับต้องได้

แม้กระทั่งโครงการบัตรคนจน ที่รัฐบาลนี้คิดว่าคือผลงานชิ้นโบว์แดง ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงแค่แก้ขัดกับความเดือดร้อนของคนยากจนได้แค่ปลายเล็บเท่านั้น หาใช่การยกระดับสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่ และหากลองมองย้อนกลับไปในห้วงยึดอำนาจหมาด ๆ มีการโจมตีประชานิยมว่า ไม่สอนให้ประชาชนรู้จักวิธีหาปลา มีแต่จะโยนปลาให้กิน มาวันนี้สิ่งที่ทำต่างกันตรงไหน

ยิ่งได้ฟังท่านผู้นำย้ำเตือนถึงประเด็นการยอมรับจากต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เห็นทัศนคติหรือวิสัยทัศน์ที่คับแคบ หรือเป็นการคิดที่เข้าข้างตัวเองเอามาก ๆ ใช่อยู่ที่ว่าเวลาผู้นำเผด็จการไปประเทศไหนหรือเวทีระดับนานาชาติเวทีใด ไม่มีผู้นำประเทศใดในโลกนี้ที่เขาจะปฏิเสธในการจับมือแสดงมิตรไมตรีต่อผู้นำประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะนั่นถือเป็นการเสียมารยาททางการทูต

ในทางกลับกันมันต้องย้อนกลับมาดูท่าทีของประเทศต่าง ๆ หลังจากที่ผู้นำเผด็จการไทยแลนด์เสร็จสิ้นภารกิจกลับมาประเทศตัวเองแล้วต่างหาก มีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเข้าทำนองด่าไล่หลังหรือไม่ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า กล่าวคือชื่นชมต่อหน้าแต่ลับหลังยังคงยืนกรานเรื่องความเป็นประชาธิปไตยของไทย มิเช่นนั้น จะไม่ร่วมมือใด ๆ ทั้งสิ้น

เรื่องแบบนี้ผู้นำเผด็จการย่อมรู้อยู่แก่ใจดี จึงยืนยันเรื่องโรดแมปเลือกตั้งอย่างแข็งขัน แม้ความจริงยังไม่อยากจะให้เกิดขึ้นก็ตาม นั่นเป็นเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า แรงกดดันจากนานาชาติต้องการให้รัฐบาลเผด็จการคสช.คืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็ว และยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าหากหลังเลือกตั้งรัฐบาลหน้าเดิมกลับมา ทีท่าจากต่างประเทศจะเป็นอย่างไรบ้าง การเล่นละครประชาธิปไตยตบตาจะแหกตาหรือสร้างความรู้สึกที่ดีต่อโลกภายนอกหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้

อย่างที่บอกหลายเรื่องมันมีความย้อนแย้งอยู่ในตัวของมันเอง ไม่ต่างจากกรณีที่ สุวิทย์ เมษินทรีย์ พยายามอธิบายเรื่องที่มาของเพลงแร็พไทยแลนด์ 4.0 โดยอ้างว่าคิดมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะนำมาชนกับแร็พประเทศกูมี เพียงแค่มันบังเอิญมาลงล็อกในจังหวะนี้พอดี หากไม่มีหัวโขนความเป็นนักการเมืองคนอาจทำใจเชื่อได้ แต่ด้วยสิ่งที่คนในรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงแสดงออกต่อเพลงประเทศกูมี มันทำให้เชื่อได้ยาก

ไม่ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะใช้หลักปฏิบัติการณ์สงครามข้อมูลข่าวสารหรือไอโอตามความถนัดของผู้นำและลิ่วล้อที่มาจากทหารหรือไม่ แต่ในยุคที่โลกรู้เท่าทัน มันไม่ง่ายที่จะโฆษณาชวนเชื่อ ด้วยเหตุนี้แร็พของรัฐบาล แม้ยอดวิวจะทะลุ 2 ล้านไปแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากตัวเลขของการกดไลค์และดิสไลค์แล้ว มันสะท้อนอะไรบางอย่างอย่างมีนัยสำคัญ

กล่าวคือ ผู้คนชอบแค่หลักพัน แต่คนไม่ชอบทะลุเกือบครึ่งแสน พร้อม ๆ กับการนำไปขยายผลต่อในโลกโซเชียลประมาณว่า นี่มันเพลงอะไรกันประสาวัยรุ่นเรียกกันว่า “กากจัด ๆ” สิ่งเหล่านี้หาใช่กระบวนการจัดตั้งให้คนมากดแสดงความเกลียดชังวัตถุทางความคิดของรัฐบาลเผด็จการ แต่ในสังคมที่คนเข้าใจเปรียบเทียบ รู้อะไรเป็นอะไร ย่อมเข้าใจดีว่า สิ่งไหนคือข้อเท็จเรื่องไหนคือความจริง สิ่งไหนคือความจริงใจหรือเรื่องใดเป็นความโกหกตอแหล

น่าเห็นใจสำหรับเผด็จการที่อยากให้คนรักคนชอบและหลงใหลหัวปักหัวปำ ซึ่งมันก็น่าจะทำไม่ยากในความคิดของผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่สิ่งที่เป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมันบังคับกันไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องที่พอไม่ได้ดั่งใจแล้วจะตีโพยตีพาย เหมือนที่ท่านผู้นำโวยละครไทยทำคนไม่ยอมฟังนายกฯ พร้อมตำหนิอีกว่ามีแต่ไม่สร้างสรรค์ เอาแต่ด่ากันแย่งสมบัติ พวกผู้จัดละครทั้งหลาย (ที่ส่วนใหญ่เคยร่วมเป่านกหวีดเรียกเผด็จการด้วย) คงงงเป็นไก่ตาแตก ทำไมท่านผู้นำอารมณ์บ่จอยแล้วโยนขี้มาให้กันหน้าตาเฉย

Back to top button