ฟันด์โฟลว์เริ่มกลับ ?

เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีก 215 ล้านบาท และเป็นการซื้อ 3 วันติดต่อกัน


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีก 215 ล้านบาท และเป็นการซื้อ 3 วันติดต่อกัน

ในจำนวน 3 วันนี้ วันที่ซื้อมากสุด คือเมื่อวันอังคารที่ 6 พ.ย.ซื้อสุทธิ 2,157 ล้านบาท และวันก่อนหน้านี้ซื้อสุทธิ 135 ล้านบาท

รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 2,507 ล้านบาท

มีคำถามว่า การซื้อของต่างชาติ ถือว่ามีนัยสำคัญที่จะบอกว่า ต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย และตลาดหุ้นไทยหรือยัง

คำตอบคือ “ยัง”

เพราะยังต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับผลทางบวกและลบที่เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ได้ผ่านพ้นไป แม้ในเบื้องต้นนักวิเคราะห์ต่างมองว่า “เป็นปัจจัยบวก” (บ้าง)

มีการมองกันว่า “ทรัมป์” ที่เคยมีนโยบายแข็งกร้าวเกี่ยวกับสงครามการค้านั้น จะมีท่าที “อ่อนลง”

และการเจรจาการค้ากับจีนนั้น ก็น่าจะ “ประนีประนอม” กันมากขึ้น

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ค่อยดีนักในขณะนี้ จากการเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาชะลอตัวในตัวเลขบางเซกเตอร์

เศรษฐกิจจีนก็เช่นกัน ตัวเลขจีดีพีเติบโตถดถอย และตัวเลขสำคัญ ๆ เริ่มชะลอตัว คนจีนเริ่มคุมการใช้จ่าย เช่น ลดการท่องเที่ยวต่างประเทศ

ว่ากันว่า ที่คนจีนมาเที่ยวไทยน้อยลง มาจากเศรษฐกิจของจีนมากกว่า

ภาวการณ์เช่นนี้ทำให้การเจรจาระหว่าง “ทรัมป์” กับ สี จิ้นผิง” ผู้นำของจีน จะมีรอยยิ้มให้กันมากขึ้น

หากบรรยากาศออกมาแบบนี้ และเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ เราจะเริ่มเห็นเงินกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

ทว่า จะเข้ามาแบบมี “กรอบจำกัด”

ถามว่าเพราะเหตุใด

คำตอบคือ ปัจจัยหลักเกี่ยวกับฟันด์โฟลว์ จะอยู่ที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดที่จะมีขึ้นอีก 2 ครั้ง คือวันพุธ และพฤหัสบดีฯ นี้ และอีกครั้งคือ เดือน ธ.ค. 2561

การประชุมเฟดวันนี้ ถูกคาดหมายว่า ยังไม่น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย

แต่ในรอบเดือน ธ.ค.นี้ นักวิเคราะห์วอลล์สตรีท และของไทยเอง ฟันธงกันไปแล้วว่า ขึ้นแน่นอน และนี่คือปัจจัยลบที่ทำให้ฟันด์โฟลว์อาจจะยังไม่กลับเข้าตลาดหุ้นไทย และอาจจะไหลออกเพิ่ม

จากต้นปีมาถึงเมื่อวานนี้ ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 272,840 ล้านบาท

ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลงจากสิ้นปี 2560 ติดลบ 4.45%

ดีที่ยังมีแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันกับรายย่อย (ที่มีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก) เข้ามาช่วยพยุงกันไว้

ต่างจากหลาย ๆ ปีก่อนหน้านี้ หากต่างชาติขายหนักขนาดนี้ คงได้เห็นดัชนีหลุด 1,500 จุด กันไปแล้ว

เมื่อวานนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็มีตัวเลขการซื้อขายหุ้นของเดือนตุลาคม และมีตัวเลขหลายด้านที่ดูแล้วน่าสนใจ เช่น ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ที่ 3.16% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นเอเชียที่อยู่ 3.08%

Forward P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม อยู่ที่ระดับ 15.43 เท่า

ขณะที่ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.51 เท่าซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.19 เท่า และ 13.99 เท่า

พี/อี ของตลาดหุ้นไทย ที่สูงกว่าชาวบ้านเขานั้น มาจากการปรับลงของดัชนีหุ้นไทยที่ลงมาเพียง 4-5%

ส่วนประเทศอื่น ๆ นั้น ปรับลงมาค่อนข้างมาก บางประเทศร่วงลงไปกว่า 15-20%

มีคำถามต่อไปว่า แล้วเรื่องการเลือกตั้งจะมีผลต่อการกลับเข้ามาของฟันด์โฟลว์หรือไม่

คำตอบของคำถามนี้ ก็ต้องย้อนไปยังปัจจัยเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยนั่นแหละ ว่าในปี 2562 จะปรับขึ้นอีกเท่าไหร่ และประเทศไทยจะรับมืออย่างไร

ประเด็นเรื่องฟันด์โฟลว์จึงยังไว้ใจไม่ค่อยได้

Back to top button