มินสกี้ที่ตลาดเซี่ยงไฮ้พลวัต2015
บรรดาผู้จัดการกองทุนต่างชาติที่เข้ามาโกยกำไรกลับจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ พากันพูดให้แซ่ดผ่านสื่อตะวันตกบอกว่า ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้รอวันที่ฟองสบู่จะแตกเท่านั้นเอง
บรรดาผู้จัดการกองทุนต่างชาติที่เข้ามาโกยกำไรกลับจากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ พากันพูดให้แซ่ดผ่านสื่อตะวันตกบอกว่า ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้รอวันที่ฟองสบู่จะแตกเท่านั้นเอง
ข้อสรุปของพวกเขาคือ ฟองสบู่เกิดขึ้นและดำรงอยู่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีใครบอกว่า มันเริ่มต้นอย่างไร และเมื่อใด แต่ที่น่าสนใจคือข้อสรุปดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นเริ่มปรับฐานลงมาเล็กน้อย
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในช่วง 5 เดือนมานี้ ถือได้ว่าเป็น ”ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ของวงการตลาดทุนทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย สัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่งทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปีไปหมาดๆ ก่อนจะฟองสบู่แตกมาครั้งหนึ่ง เพิ่งจะมาร้อนแรงในปีนี้เองที่ดัชนีวิ่งขึ้นมากกว่า 140%
ที่น่าสนใจคือ คนที่พูด ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์แอบแฝงซ่อนอยู่ทั้งสิ้น เป็นที่ทราบกันดีว่า พวกเขาโกยกำไรและขายออกไปแล้ว ดังนั้น เมื่อหุ้นเริ่มปรับตัวลง จะพักฐานหรือปรับฐานก็เถอะ พวกเขาจะพูดจาคำโตทุบตลาดด้วยคำว่า ฟองสบู่ใกล้แตก เพื่อที่จะให้ราคาหุ้น และดัชนีตลาดลงไปลึกกว่านี้อีก จนกว่าจะถึงจุดเป้าหมายที่รอซื้ออยู่ ซึ่งหากซื้อได้ครบตามต้องการแล้ว คนเหล่านี้ก็จะออกมาพูดว่า ตลาดถูกเกินไปเสียแล้ว ต้องวิ่งแรงขึ้นไปหาจุดสูงกว่านี้อีก
เกมเช่นนี้ เป็นวิชามารของผู้จัดการกองทุนที่ไหนๆ ก็ทำ โดยเฉพาะเวลาที่พวกเขาเข้าไปในตลาดกำลังพัฒนาที่มีความสามารถของกลไกตลาดที่หละหลวม มีธรรมาภิบาลบกพร่อง หาประโยชน์กอบโกยความมั่งคั่งเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องใหม่
สำคัญอยู่ที่ใครจะรู้ทันมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง
ดังที่ทราบกันดีว่า หากคิดตามมาตรฐานของไฮแมน มินสกี้ นักคณิตศาสตร์ด้านตลาดเก็งกำไร ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ยังห่างไกลจากสถานการณ์ที่กำลังจะพังทลายอย่างมาก
ตามหลักการของมินสกี้ ที่เปิดเผยโดยทั่วไป การพังทลายของตลาดหุ้นๆ ไม่ว่าที่ไหนในโลก มีทั้งหมด 7 ขั้นตอนที่ต้องผ่านให้ครบ ได้แก่
– Displacement ความผันผวนในอุตสาหกรรมหรือภาคการผลิตที่แท้จริง ที่มีตลาดใหญ่อย่างใดอย่างหนึ่ง (เทคโนโลยีใหม่สุด นโยบายใหม่สุด อุตสาหกรรมใหม่สุด กระบวนผลิตใหม่สุด) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานและมุมมองของตลาด
– Prices start to increase ราคาและค่าแรงเพิ่มขึ้นจนผิดสังเกตจนต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อปรับให้เหมาะกับภาวะเงินเฟ้อ
– Easy Credit สินเชื่อเงินกู้ราคาถูก (นวัตกรรมการเงินใหม่) ถูกนำเสนอเข้ามา จุดประกายให้เงินนั้นถูกนำไปเริ่มเก็งกำไร
– Excessive Trading ตลาดที่ร้อนแรงเกินขนาด ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงเกินจริง หรือ พี/อี ตลาดสูงเกินกว่าตลาดอื่นๆ ในโลก มีวิศวกรรมการเงินทำให้ปริมาณเทรดหุ้นมากเกินสมควร (เทิร์นโอเวอร์สูงกว่าจำนวนหุ้น) ดันราคาหุ้นทะยานรุนแรง
– Euphoria คนที่ไม่มีความรู้ พากันเข้ามาซื้อขายหุ้น แม้กระทั่งคนเช็ดรองเท้า และแคดดี้สนามกอล์ฟก็ยังเล่นหุ้น
– Insider profit taking พ่อมดการเงินอาละวาด ด้วยการครอบงำราคาผ่านข้อมูลวงใน
– Revulsion บรรยกาศเข้าสู่สภาพหนีน้ำท่วม ใครหนีก่อนรอด ขายทีหลังตาย มีคนขายมากกว่าคนซื้อ
หากเทียบกับข้อเท็จจริงในตลาดเซี่ยงไฮ้ จะเห็นว่าสภาพตลาดยังเริ่มย่างเข้าสู่ขั้นตอนที่ 4 เท่านั้น ยังมีเวลาที่จะต้องผ่านอีก 2 ขั้นตอนกว่าจะเรียกว่าภาวะฟองสบู่ ก่อนจะพังทลายในขั้นตอนที่ 7 อันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ดังนั้น การตั้งโจทย์ว่า ตลาดเซี่ยงไฮ้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ จึงเป็นการกล่าวเกินจริง ของผู้ที่ต้องการทุบตลาดลงเพื่อช้อนซื้อหุ้นมากกว่า
พูดแบบนี้ ก็เท่ากับว่า ผู้จัดการกองทุนต่างชาตินั่นเอง คือคนที่พยายามสร้างกระแสครอบงำการซื้อขายตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เสียเอง
แม้โดยข้อเท็จจริง ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายประจำวันของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้แซงหน้าวอลล์สตรีทไปเป็นตลาดอันดับหนึ่งของโลกไปแล้ว โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ระดับเหนือ 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับมูลค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นนิวยอร์กและแนสแด็กรวมกันที่อยู่ในระดับ 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน แต่ตลาดยังสามารถร้อนแรงต่อไปได้อีกระยะหนึ่งเพราะมีข้อเท็จจริงที่ว่า
– ขนาดของมาร์เก็ตแคปตลาดและจำนวนนักลงทุนมากกว่าปี 2007 ที่เกิดฟองสบู่ครั้งแรก หลายสิบเท่า จากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มมากคอยดูดซับความมั่งคั่งส่วนเกินของการเก็งกำไรและประคองตลาดไม่ให้เหวี่ยงตัวขึ้นลงแรง
– อัตราดอกเบี้ยในปี 2007 เป็นขาขึ้นส่งผลลบต่อจิตวิทยาตลาดให้ขายต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงส่งผลทางบวกให้ซื้อเป็นระยะๆ ได้
– พี/อี ตลาดยังต่ำโดยเปรียบเทียบกับตลาดอื่นในเอเชีย และความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดช่องให้กับความยืดหยุ่นบริหารพอร์ตจากการซื้อขายสองตลาดพร้อมกันได้
ทั้งหมดนี้ จึงเห็นได้ชัดว่า คำพูดเกินเลยที่ผู้จัดการกองทุนต่างชาติพยายามบอกว่าตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ยามนี้ เข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า The Minsky Moment ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ฟองสบู่กำลังจะแตก จึงต้องฟังหูไว้หูเสมอ