เล่นยากขึ้นทุกที

ลงทุนหุ้นปีนี้ ลำบากมหันต์! ออกสตาร์ทต้นปีมาที่ 1,753 จุด ดูท่าจะโผไปที่ระดับ 1,800 จุดได้ไม่ยาก แต่ที่ไหนได้ มาเจอเอาความผันผวนช่วงกลางปีที่ดัชนีหลุดต่ำระดับ 1,600 จุด แล้วก็เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง มาอยู่ในระดับ 1,650 จุด บวก-ลบในปัจจุบัน


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ลงทุนหุ้นปีนี้ ลำบากมหันต์! ออกสตาร์ทต้นปีมาที่ 1,753 จุด ดูท่าจะโผไปที่ระดับ 1,800 จุดได้ไม่ยาก แต่ที่ไหนได้ มาเจอเอาความผันผวนช่วงกลางปีที่ดัชนีหลุดต่ำระดับ 1,600 จุด แล้วก็เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง มาอยู่ในระดับ 1,650 จุด บวก-ลบในปัจจุบัน

ไม่ใช่ว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแย่ลง หรือเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศอะไรนะครับ

ผลประกอบการบจ.ก็ยังมีความเติบโตดีในทุกไตรมาส วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศก็ไม่มี ความผันผวนของตลาดมาจากเหตุปัจจัยต่างประเทศเป็นด้านหลัก จากความวิตกกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอยากจะเรียกว่า “ผันผวนโดยใช่เหตุ” ด้วยซ้ำ

หุ้นผลประกอบการดี แต่พอแจ้งงบฯ ออกมา ก็กลายเป็น “เซลล์ ออน แฟคท์” ไปเสียทุกตัว ซึ่งชักจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เพี้ยนพิเรนทร์ของตลาดหุ้นไทยวันนี้เข้าไปทุกทีแล้ว

หุ้นกลุ่มปตท. อันประกอบด้วย PTT PTTEP PTTGC TOP IRPC และ GPSC ผลประกอบการ Q3 ออกมาสวยสดงดงาม กำไรรวมกัน 61,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 35,346 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรโตขึ้น 74% และถ้าคิดช่วงงวด 9 เดือน กำไรก็เติบโตขึ้นกว่า 13%

แต่ราคาหุ้นกลับไม่ตอบรับกับผลประกอบการเอาเสียเลย

ก็เป็นไปได้นะว่า หุ้นในกลุ่มปตท. อาจจะล่อแหลมต่อราคาน้ำมันขึ้นลงในตลาดโลก เกี่ยวกับการบันทึกสต๊อกเกน-สต๊อกลอส

แต่ปรากฏการณ์เมื่อวันพุธที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งราคาน้ำมันหลุดมาทีเดียว 5 เหรียญฯ “หุ้นตระกูลป.” ทุกตัว เซถลาไม่เป็นท่า ปตท.เนี่ย หลุดระดับ 50 ลงไป 1 บาทเลย ปตท.สผ.ยิ่งหนัก ติดลบไป 5.50 บาท โรงกลั่นไทยออยล์นี่ลบไป 3 บาทเลย ก็น่าคิดในมุมกลับไปเหมือนกันว่า แล้วถ้าราคาน้ำมันทะยานกลับขึ้นไปล่ะ ราคาหุ้นตระกูลป.ก็น่าจะกลับไปที่เดิมได้นะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ ผมว่าตลาดหุ้นบ้านเราตอนนี้ ดูเพี้ยน ๆ อย่างไรชอบกล นักลงทุนต่างชาติหรือที่บ้านเราเรียกสั้น ๆ ว่า ฝรั่ง ไม่รู้เอาหุ้นจากไหนมากมายออกมาขายได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เดือนนี้ 10 วันทำการ ทำท่าซื้อแค่ 4 วัน ขายซะ 6 วัน ขายสุทธิออกมา 4,136 ล้านบาท และนับตั้งแต่ต้นปีมา ก็เป็นผู้ขายสุทธิทั้งสิ้น 277,309 ล้านบาทแล้ว

ปัจจัยที่ทรงอิทธิพลอีกปัจจัยหนึ่งในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันก็คือ “หุ่นยนต์” ที่มีการตั้งโปรแกรมซื้อขายอัตโนมัติชนิด 2 ช่องก็ออกของเอากำไรกันแล้ว เวลาขายก็ขายกระหน่ำ เวลาซื้อก็ซื้อกระหน่ำ ทำให้การเคลื่อนไหวราคาหุ้นผิดเพี้ยนไปหมด เรื่องนี้คุณมนตรี ศรไพศาลแห่งเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ก็ได้ออกโรงเตือนให้ตระหนักถึงภัยหุ่นยนต์ต่อสาธารณะมาหลายครั้งหลายคราแล้ว

คำสั่งคีย์ซื้อขายหุ้นโดยมนุษย์ ไม่มีทางรวดเร็วเท่าหุ่นยนต์หรอก

ยิ่งพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นประเภทเทรดดิ้งเล่นสั้น ก็ยิ่งเข้าทางหุ่นยนต์มัน เพราะหุ่นยนต์ไม่มีชีวิตจิตใจเหมือนมนุษย์ ตั้งโปรแกรมให้ขาย มันก็ขายไม่ยั้งมือ และในทำนองเดียวกันถ้าตั้งโปรแกรมให้ซื้อก็ซื้อไม่ยั้งมือเหมือนกัน ทำให้ราคาผิดเพี้ยน

นักลงทุนรายย่อยเรา จะตัดสินใจซื้อขายจากอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ วันไหนตลาดเขียว เป็นได้คันไม้คันมือเข้าไปลุยหุ้น พอสถานการณ์พลิกผันก็ “ติดหุ้น” เห็นหุ้นลงติดต่อกันหลายวันเข้าก็ “คัท ลอส” รับผลขาดทุนไป

ในเมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และก.ล.ต.ก็ยังไม่มีท่าทีจะตระหนักถึงปัญหา “ภัยหุ่นยนต์” สักเท่าไหร่นัก ผมก็ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับเพื่อนโบรกเกอร์สอง-สามท่านถึงวิธีการสู้กับหุ่นยนต์ในตลาด

พอจะมองเห็นต้องตรงกันว่า ต้องเปลี่ยนแนวการลงทุนจากเทรดดิ้งมาเล่นหุ้นในระยะยาวมากขึ้น ดูกันที่ปัจจัยพื้นฐานและเงินปันผลเป็นด้านหลัก เวลาราคาหุ้นผันผวนจะได้ไม่ตกใจไปกับเหตุการณ์ประจำวัน ซึ่งเวลานี้ หุ้นพื้นฐานดี และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอตั้งแต่ร้อยละ 4 ขึ้นไป ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี มีไม่น้อยกว่า 150 ตัวขึ้นไปแน่ะ

ถ้าขืนไม่ปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุน ก็มีแต่จะเข้าทางหุ่นยนต์ ซึ่งมนุษย์จะกลายเป็น “เหยื่อหุ่นยนต์” ไป

ปัจจัยคุกคามตลาดหุ้นไทยทั้งมาจากต่างประเทศและภัยคุกคามจากหุ่นยนต์ จึงก่ออาการ “ตลาดเพี้ยน” ทุกวันนี้ มีแต่ต้องรู้เท่าทันเกม

Back to top button