พาราสาวะถี
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกอาการโมโหโกรธาหลังถูกถามกรณี พลเอกยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติพร้อมพูดพาดพิงถึงการรัฐประหารที่เกิดขึ้น ถึงขนาดที่บิ๊กป้อมบอกว่าเป็นคนเนรคุณ ไม่สำนึกข้าวแดงแกงร้อน
อรชุน
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกอาการโมโหโกรธาหลังถูกถามกรณี พลเอกยศนันท์ หร่ายเจริญ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติพร้อมพูดพาดพิงถึงการรัฐประหารที่เกิดขึ้น ถึงขนาดที่บิ๊กป้อมบอกว่าเป็นคนเนรคุณ ไม่สำนึกข้าวแดงแกงร้อน
ก่อนที่จะพาดพิงว่า “เป็นเพราะเหตุใดตอนที่อยู่ถึงไม่พูด ไปโดนอะไรมาหรือไม่ ก็มันวิ่งเต้นมาตลอด ถือว่าไม่เหมาะสมที่ทำแบบนี้” แหม! ไปเล่นประเด็นนี้ ประเดี๋ยวก็มีคนย้อนถามบิ๊กป้อมไปถึงเรื่องเกาะโต๊ะขอตำแหน่งกันอีก จะวุ่นไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม แม้บิ๊กยอร์ชคนที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่ก็มีคนที่ออกมาสวนหมัดแทนและเป็นบิ๊กเนมเสียด้วย
นั่นก็คือ ทักษิณ ชินวัตร โดยทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ตั้งเป็นคำถาม “ทหารที่อาสาเข้ามาทำงานการเมืองแบบตรงไปตรงมา น่าชื่นชมกว่าทหารที่เข้ามาโดยการยึดอำนาจไหมครับป้อม” ไม่ต้องอธิบายขยายความอะไรมาก ชัดเจนทุกประเด็น เพราะยิ่งไปฟังบทสัมภาษณ์ของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์เรื่องทิศทางการเมืองหลังจากปรี๊ดแตก ยิ่งเห็นภาพอันสวนทางกับแนวทางประชาธิปไตยอย่างเด่นชัด
เพราะในขณะที่ตั้งหน้าตั้งตาด่านักการเมืองและอ้างว่าทหารไม่เล่นการเมือง ตัวเองไม่เล่นการเมือง แต่พอถามถึงการรับตำแหน่งในรัฐบาลสมัยหน้าถ้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอก คำตอบที่ได้คือ จะรับตำแหน่งหรือไม่ไม่รู้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตน ตนอยู่เฉย ๆ ตอนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มาเชิญตนไปร่วมงาน และตนก็ทำงานอย่างเดียว
นี่น่าจะเป็นนายทหารที่ก้าวสู่สนามการเมืองโดยไม่ลงทุนโดยแท้ นับตั้งแต่คราวรัฐบาลในค่ายทหาร ก็ได้รับเชิญมาร่วมงาน ยิ่งการรัฐประหารหนนี้ไม่ต้องพูดถึงกางมุ้งรอตั้งแต่ไก่โห่ ไม่ต้องพูดถึงความสง่างาม ส่วนอาการที่แสดงออกรอบนี้ คงเป็นเพราะเสียหน้าที่น้องรักหรือคนที่ตัวเองไว้วางใจ ตบหน้าฉาดใหญ่ด้วยการไปสวามิภักดิ์ต่อศัตรู มิหนำซ้ำยังมาให้สัมภาษณ์พาดพิงอีกต่างหาก
ลองย้อนกลับไปดูข้อความของบิ๊กยอร์ชที่ทำให้พี่ใหญ่ของคณะเผด็จการควันออกหูกันอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร เจ้าตัวพูดหลังสมัครเป็นสมาชิก ทษช.ว่า “วันนี้อยากเรียกร้องทหารทุกคนยืนเคียงข้างประชาชน หมดยุคของการใช้อำนาจเผด็จการมาปกครองประเทศแล้ว บทเรียนการยึดอำนาจตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า ประเทศชาติไม่เจริญก้าวหน้า ประชาชนเดือดร้อน ถึงเวลาแล้วที่ทหารทุกคนต้องหันมาหาประชาชน”
จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่บิ๊กป้อมจะต้องออกอาการขนาดนั้น และไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวเองแม้แต่น้อย เพราะจะกลายเป็นว่าผู้มีอำนาจใจแคบ พอมีทหารที่เกษียณอายุราชการในช่วงนี้ไม่ไปสมัครพรรคในสังกัดหรือเครือข่ายของตัวเอง กลับออกมาตีโพยตีพาย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพื่อนร่วมรุ่นของบิ๊กตู่หลายรายก็ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐไม่ใช่หรือ
ไม่เพียงเท่านั้น หลายรายที่ยังมีตำแหน่งแห่งหนยังไปเคลื่อนไหวในมิติทางการเมือง ด้วยเหตุผลใดนั้นไม่ต้องอธิบาย พอมีคนจับได้ก็จะอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด เพราะกรรมการกระโดดลงมาเป็นผู้เล่นเสียเองนี่แหละ เลยทำให้โจทย์ที่เคยตั้งไว้ทำอย่างไรไม่ให้เสียของ จึงต้องแก้กันหลายตลบ ลำพังแก้วางกับดักเพื่อสกัดเครือข่ายทักษิณก็ยากอยู่แล้ว ยังจะต้องมาหาทางปูพรมแดงให้หัวหน้าเผด็จการและคณะสืบทอดอำนาจเดินกันได้โดยไม่สะดุดอีกต่างหาก
ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับเนติบริกร ในทางทฤษฎีอาจใช่ แต่ในทางปฏิบัติหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อีแค่ ป.ป.ช.ขีดเส้นให้ตำแหน่งนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยแสดงบัญชีทรัพย์สิน คนที่เขียนกฎหมายสูงสุดของประเทศและพวกอ้างตัวเป็นคนดีทั้งหลาย ยังต่างพากันกระโดดหนีทิ้งเก้าอี้กันไปหมด เท่านี้ก็สะท้อนภาพให้เห็นแล้วว่า คนเหล่านั้นที่เที่ยววางกฎระเบียบเพื่อตรวจสอบคนอื่น โดยเฉพาะนักการเมือง ดีจริง บริสุทธิ์ใจจริงหรือไม่
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมคนแห่แหนไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐกันคึกคัก ก็ท่อน้ำเลี้ยงดี มีทุกอย่างพร้อม ใครบ้างไม่อยากไปอยู่ คิดดูว่าขนาดอดีตข้าราชการอยู่ในพื้นที่จำพวกอดีต ผอ.โรงเรียน สถาบันการศึกษา ยังไม่เคยผ่านสนามการเมืองมาก่อน แต่พร้อมจะลุยสนามเลือกตั้งยังเลี้ยงดูปูเสื่อกันเป็นอย่างดี มีกระสุนให้เดินเกมการเมืองในพื้นที่ได้ทันที
เช่นนี้พวกขาใหญ่ที่มีความหวังว่าจะโกยคะแนนให้พรรคสืบทอดอำนาจได้เป็นกำเป็นกำจะมีมูลค่ากันมากขนาดไหน ว่ากันว่า ระดับเกรดเอถึงจะแพ้เลือกตั้งชีวิตความเป็นอยู่ยังจะหรูหราอู้ฟู่กว่าคนที่ชนะเลือกตั้งเสียอีก แต่ลงทุนคัดกันมาขนาดนี้ที่หวัง 150 ที่นั่งเป็นอย่างน้อยจึงไม่ใช่เรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เพียงแค่ว่าปัจจัยชี้ขาดมันอยู่ที่ประชาชน ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นอารมณ์จะเป็นอย่างไร
เรื่องหัวคะแนนในพื้นที่กับวิธีการนับคะแนน ณ หน่วยเลือกตั้ง ทำให้การบริหารจัดการเป็นไปได้ง่าย แต่ก็ใช่ว่ามีอำนาจแล้วจะสะกดทุกอย่างให้อยู่ใต้อุ้งตีนเผด็จการได้ สิ่งที่ทำให้ผู้มีอำนาจหวั่นไหวจนถึงขั้นมีการตามประกบฝ่ายตรงข้ามกันถึงหัวบันไดบ้าน หนีไม่พ้นความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์คือเหนือและอีสานรอวันเอาคืนหรือสั่งสอนเผด็จการนั่นเอง
ยิ่งปัญหาปากท้องนับวันมีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ คนยิ่งเบื่อหน่าย ด้วยเหตุนี้การโปรยงบประมาณล็อตใหญ่ 58,000 ล้านบาท ผ่าน 4 เรื่องที่ผ่านมติ ครม.ไปเมื่อวันอังคาร จึงเป็นประชานิยมหวังผลทางการเมืองเน้น ๆ ไม่ต้องมาแก้ต่างแก้ตัว เพราะสิ่งที่ทำมันไม่ใช่โครงการหรือนโยบายที่สร้างความยั่งยืนแต่อย่างใด นี่ไงที่เป็นประเด็นให้ถูกค่อนขอด สิ่งไหนที่เคยด่าว่านักการเมือง คณะเผด็จการทำเองทั้งหมดและมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป