พาราสาวะถี
อมพะนำ ทำไขสือ ด่าสื่อเป็นกิจวัตร งัดกฎหมายมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองพร้อมเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม นี่คือคุณสมบัติของผู้นำเผด็จการยุคนี้ พอนักข่าวถามเรื่องสังกัดพรรคการเมืองก็ทำเป็นหัวหมออ้างโน่นอ้างนี่สารพัด ก่อนจะปิดท้ายนิ่ม ๆ ความจริงไม่ต้องสังกัดพรรคไหนก็ได้ น่าจะเป็นเช่นนั้น หากฟังสิ่งที่เนติบริกรของรัฐบาลชี้ช่องเปิดทางอ้างข้อกฎหมายทั้งมวล
อรชุน
อมพะนำ ทำไขสือ ด่าสื่อเป็นกิจวัตร งัดกฎหมายมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองพร้อมเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม นี่คือคุณสมบัติของผู้นำเผด็จการยุคนี้ พอนักข่าวถามเรื่องสังกัดพรรคการเมืองก็ทำเป็นหัวหมออ้างโน่นอ้างนี่สารพัด ก่อนจะปิดท้ายนิ่ม ๆ ความจริงไม่ต้องสังกัดพรรคไหนก็ได้ น่าจะเป็นเช่นนั้น หากฟังสิ่งที่เนติบริกรของรัฐบาลชี้ช่องเปิดทางอ้างข้อกฎหมายทั้งมวล
ในเมื่อมีพรรคการเมืองของตัวเอง และทุ่มเทใช้พลังดูดมหาศาล เพื่อฟอกขาวล้างคราบไคลเผด็จการ แม้ไม่สังกัดพรรค แต่ก็จะมีพรรคที่ส่งเทียบเชิญให้เป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯ ขณะนี้จึงรอเพียงแค่เวลาที่พรรคพลังประชารัฐจะเปิดตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในโควตาของพรรคเท่านั้น เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่เผด็จการจะจำแลงแปลงกายกลับสู่ตำแหน่งด้วยความเชื่อว่าสง่างาม สมศักดิ์ศรี
ก็ขนาดลงทุนเขียนข้อยกเว้นไว้ในบทเฉพาะกาล ช่วง 5 ปีแรกให้ ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงที่ตัวเองตั้งมากับมือ ร่วมโหวตเลือกนายกฯ ได้ แล้วจะปล่อยให้คนอื่นมาชุบมือเปิบหยิบชิ้นปลามันไปกินได้อย่างไร ขณะเดียวกัน หากมีชื่อเป็นแคนดิเดตของพรรคการเมือง ก็ถือว่ามาตามครรลองของประชาธิปไตย บางพรรคการเมืองที่ยังแทงกั๊กก็พร้อมจะยกมือสนับสนุนได้ทันที
ในจังหวะที่การเมืองกำลังจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ไม่ต้องไปบอกว่าก็พรรคการเมืองดังว่าเขาประกาศแล้วว่าจะต้องเลือกหัวหน้าพรรคคนของตัวเองเท่านั้นให้เป็นผู้นำประเทศ แต่ถ้าผลเลือกตั้งพรรคของตัวเองเข้าป้ายมาอันดับสามอันดับสี่ ในภาวะที่กระสันอยากจะได้ครองอำนาจรัฐ ถามว่ายังจะดันทุรังยึดหลักการ อ้างอุดมการณ์ (ทั้งที่ไม่มีเหลือ) อยู่อีกหรือ
เรื่องวาทกรรมที่จะไปอธิบายกับประชาชนผู้ลงคะแนนเลือกไม่ต้องห่วง สำหรับพรรคการเมืองนี้นี่คืองานถนัด ใครที่บอกว่ากล่าวหากันง่ายเกินไปหรือเปล่า หากจะให้คนเชื่อก็ต้องกล้าประกาศให้ชัดว่าไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจทุกรูปแบบ และจะไม่มีการกลับลำหลังเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด พูดให้ได้ยินกันแบบหนักแน่นเสียก่อน ไม่ใช่อ้างหลักการเสียดิบดีแต่มีออกตัวตามมาตลอด เช่นนี้จะมีใครไว้วางใจ
ขนาดหัวหน้าเผด็จการยังกล้าที่จะขู่ตะกอกผู้นำพรรคดัง ๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรตอนนี้ แล้วอย่ามาเปลี่ยนคำพูดหรือเปลี่ยนใจหลังเลือกตั้งก็แล้วกัน ความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันทั้งในฐานะที่ไปตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหารและเป็นส่วนหนึ่งของการโบกมือดักกวักมือเรียกเผด็จการ คสช. อย่างไรเสียคงตัดกันไม่ขาด เมื่อทุกอย่างไม่พลาด ไม่เสียของ ก็ต้องมาฉลองกันให้สุดเหวี่ยงหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์
การพูดไม่อยู่กับร่องกับรอยและทำตัวเสมือนว่าตัวเองไม่เคยให้สัมภาษณ์อะไรไว้ นี่คือคุณสมบัติของเผด็จการยุคใหม่ ก็เพิ่งบอกนักข่าวไปเมื่อสัปดาห์ก่อนยังไงก็หนุนหัวหน้าเผด็จการกลับมาเป็นผู้นำ พร้อมกับยกตัวอย่างว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็สนับสนุนเห็นได้จากโพลที่สำรวจกันออกมา แต่พอวันวานนักข่าวไปถามเรื่องผลนิด้าโพลที่ยก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เหมาะเป็นผู้นำมาเป็นอันดับ 1
เท่านั้นแหละ คำตอบของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เปลี่ยนไปทันที แค่โพลที่สำรวจความเห็นคนไม่กี่คน ไม่ใช่คนทั้ง 70 ล้านคน เอ้า! ไหนก่อนหน้าเพิ่งบอกว่าคะแนนนิยมของผู้นำเผด็จการยังนำโด่งจากผลโพลสารพัด แล้วทำไมวันนี้บอกว่าไม่น่าเชื่อถือ ไม่ต่างจากท่านผู้นำที่ถึงกับตั้งข้อสงสัยโพลสำนักนี้มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า
พอจะเข้าใจได้อะไรที่ไม่ตามใจหรือขัดใจเผด็จการเป็นต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังตลอด พฤติกรรมเช่นนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวที่ตัวเองกล่าวหาแม้แต่น้อย คงอย่างที่ จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคไทยรักษาชาติ ตั้งคำถามล่าสุด การรัฐประหารและการกระทำอันต่อเนื่องที่ว่าเพื่อไม่ให้เสียของนั้น เกิดผลอย่างไรกับพรรคการเมืองในประเทศไทย
ที่ว่าต้องปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้งถึงขนาดล้มการเลือกตั้งครั้งก่อนไปนั้น สุดท้ายเกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างไรและจะมีผลต่อไปข้างหน้าอย่างไร เราจะต้องตั้งคำถามว่า “นี่หรือการปฏิรูปการเมืองของพวกคุณพลเอกประยุทธ์” ไม่ต่างจาก ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยที่เกิดปุจฉาต่อกระบวนการปฏิรูปของเผด็จการ คสช.เช่นกัน
ท่านปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ท่านสร้างขึ้นในข้อใด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องปฏิรูปกำจัดให้หมดไป แต่พวกท่านกลับทำเสียเอง เลิกพูดเรื่องการปฏิรูปอะไรทั้งหลายได้แล้ว ทั้งหมด “เป็นตัวหนังสือที่เอาไว้อวดชาวบ้าน” เท่านั้นเอง ที่อดถามย้ำไม่ได้คือแกนนำม็อบชัตดาวน์ผู้เรียกร้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยหรือ
สิ่งที่เราได้เห็นความเป็นไปในระยะเวลาที่ผ่านมามีอะไรที่ชี้ให้เห็นว่าจะมีการปฏิรูปการเมืองกันอย่างจริงจังบ้าง เราเห็นการตั้งพรรคการเมืองโดยรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล คสช. พร้อมมีการอธิบายรัฐธรรมนูญว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการมีอำนาจเต็ม ไม่อยู่ในข้อห้ามใด ๆ เช่นรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งในอดีต เราเห็นการไขว่คว้าหาผู้สมัครกันอุตลุด
นี่คงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการเปิดรับสมาชิกพรรคกันถึงเที่ยงคืน มีการเจรจาต่อรองที่คละคลุ้งไปด้วยตัวเลขและผลประโยชน์ ผู้ที่ตกปากรับคำกลายเป็นผู้มีขีดความสามารถที่จะเดินหาเสียงเข้าหาประชาชนยังกับเป็นคนละคนกับในอดีต มีการเอาเรื่องของกระบวนการยุติธรรมทั้งในองค์กรอิสระและศาลมาเป็นเรื่องเจรจาต่อรองกัน เอามาพูดกันอย่างโจ๋งครึ่ม ผู้เกี่ยวข้องอาจจะไม่รู้เอาเสียด้วยว่าถ้าเรื่องเช่นนี้ปรากฏขึ้นตัวเองนั่นแหละจะยิ่งลำบาก
การปฏิรูปการเมืองที่วางเป้าหมายเอาไว้สวยหรู เพื่อทำให้การเมืองโปร่งใส บริสุทธิ์ สะอาด เป็นการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นคงพิสูจน์แล้วว่าคำพูดเลิศหรูเหล่านั้นแท้จริงได้นำไปสู่การปฏิบัติหรือไม่ ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นวาทกรรมลวงโลก แต่จะให้บอกว่าลวงโลกได้แนบเนียนเพราะมีเนติบริกรคอยชี้แนะก็คงไม่ได้ เพราะหลายเรื่องมันไม่ได้แนบเนียนอะไรแม้แต่น้อย แต่อาศัยความหน้าด้านหน้าทน นอกจากคนไม่มีส่วนร่วมแล้วยังหมดสิทธิ์ที่จะตรวจสอบอีกต่างหาก