ปฏิรูปแล้วเหรอ
“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สโลแกนสนั่นตอนม็อบปิดเมืองก่อนปี 2557 จนกระทั่งเกิดการยึดอำนาจสนอง และคสช.ก็ใช้เวลาปฏิรูปนั่นปฏิรูปนี่เป็นเวลากว่า 4 ปีมาแล้ว
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
“ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สโลแกนสนั่นตอนม็อบปิดเมืองก่อนปี 2557 จนกระทั่งเกิดการยึดอำนาจสนอง และคสช.ก็ใช้เวลาปฏิรูปนั่นปฏิรูปนี่เป็นเวลากว่า 4 ปีมาแล้ว
บัดนี้ได้เวลาไปเลือกตั้ง 24 ก.พ.62 ตามที่ผู้นำคสช.ได้ให้สัญญาต่อประชาคมโลกครั้งที่ 5 ไปแล้ว ถามว่า การปฏิรูปสำเร็จเรียบร้อยดีแล้วหรือไร ถึงปล่อยให้มีเลือกตั้งกันได้
ถามเช่นนี้ มิได้ตั้งใจจะกวนน้ำให้ขุ่นนะครับ เพราะมันเคยมีเรื่องพิเรนทร์ระดับชาติในอดีตมาแล้ว อาทิเรื่องคัดค้านการสร้างรถไฟความเร็วสูงสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ด้วยข้ออ้าง “ถนนลูกรังหมดไปหรือยังล่ะ”
แต่ตอนนี้ ก็ต้องถามกลับไปเหมือนกันว่า “ถนนลูกรังหมดไปแล้วเหรอ” ถึงได้เดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูงกันโครม ๆ สายอีสานเชื่อมลาว-จีน ตอกเสาเข็มต้นแรกกันไปแล้ว สายเหนือก็กำลังจะตามมา
“ถนนลูกรังหมดไปแล้วเหรอ” คนที่ตั้งคำถามนี้ ก็ได้พลิกผันตัวเองไปเป็นแกนสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับหน้าตาพิเรนทร์ฉบับนี้ไปแล้ว ไม่ทราบว่ายังจะข้องใจประเด็นถนนลูกรังอยู่อีกหรือไม่ ข่าวไม่ได้แจ้งมาซะด้วย
กฎหมายปราบโกง! พอป.ป.ช.ประกาศข้อบังคับบุคคลที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินแบบครอบจักรวาล ไม่เว้นแม้กระทั่งบอร์ดสภามหาวิทยาลัย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เจ้าตำรับร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงและกฎหมายปราบโกง ก็เผ่นป่าราบ ยอมทิ้งตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยไป
เหลือไว้แต่ “รัฐธรรมนูญฉบับสารพัดพิษ” ที่มุ่งโค่นล้มขั้วการเมืองหนึ่ง และมุ่งหวังให้มีการสืบทอดอำนาจของอีกขั้วการเมืองหนึ่ง จึงกลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งเดียวในโลก ที่ไม่เหมือนใครและก็ไม่มีใครเหมือนด้วย
นั่นคือ ให้คะแนนทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ เรียกว่าระบบจัดสรรปันส่วนผสม กาเลือกส.ส.ในบัตรเดียว พรรคใดได้ส.ส.เขตมาก ก็จะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อย
ด้วยเหตุนี้ จึงมีพรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมด เพราะคะแนนของพรรคผู้แพ้ ก็เอาไปนับรวมและอาจจะได้คะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย นอกจากนี้ก็ยังเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากมาก เพราะจะต้องได้รับความยินยอมจากวุฒิฯลากตั้งถึง 1 ใน 3 (ใน 250 คน)
เฮ้อ! มัดตราสังพันธนาการพรรคอื่นด้วยกฎหมายสูงสุดซะขนาดนี้แล้ว ก็ยังทำการเมืองย้อนยุค เที่ยวได้ไล่กวาดต้อนส.ส.ประภทเสือสิงห์กระทิงแรด พวกส.ส.ขายตัวบ้าง รวมทั้งพวกมีความจำเป็นต้องพึ่งพาทางคดีทั้งหลาย เข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ
พรรคพลังประชารัฐในพ.ศ.นี้ จะต่างอะไรจากพรรคเสรีมนังคศิลา ที่จอมพล ป. พิบูลสงครามตั้ง และต่างอะไรจากพรรคสามัคคีธรรม ที่พล.อ.สุจินดา คราประยูรตั้งเล่า เส้นทางเดินประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยกันมาซะขนาดนี้ เห็นกันได้ไม่ยากจริง ๆ
แต่ใช้เวลาย้อนยุคกันมาตั้ง 61 ปีแน่ะ
สโลแกน “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่ใช้เวลาฟูมฟักนานกว่า 4 ปีครึ่ง และเป็นเหตุปัจจัยใหญ่แห่งการอ้างอิงยึดอำนาจ นี่คือ การปฏิรูปการเมืองแล้วหรือ
พรรคการเมืองที่หัวหน้าคณะยึดอำนาจ ให้กำเนิดขึ้นมา แล้วกลายเป็นที่รวมของเสือสิงห์กระทิงแรด พวกขายตัว และพวกหนีร้อนมาพึ่งเย็นทางคดีทั้งหลาย จะเรียกว่าพรรคการเมืองที่ใสสะอาดได้ล่ะหรือ
เปรียบประดุจมนุษย์เสพสังวาสกัน แต่ลูกเกิดมาดันกลายเป็นปีศาจเสียนี่ ก็ไม่ปาน
ว่าแต่เขาเป็นการเมืองไม่ปฏิรูป ถึงขั้นต้องเข้ามาใช้กำลังยึดอำนาจ แต่พอตัวเองทำ นอกจากจะไม่ปฏิรูปแล้วยังทำสกปรกกว่าเสียอีก แล้วยังจะมีหน้ามาชี้กราดด่าคนอื่นได้อย่างไร แทนจะด่าตนเอง
อย่างนี้ ต้องให้บทเรียนอย่างสาสม