พาราสาวะถี

บอกไปเมื่อวันวานเรื่องการทำงานของ กกต.ทั้งเจ็ด โดยเฉพาะท่าทีของ  อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ที่ไม่อินังขังขอบต่อข้อทักท้วงใด ๆ แต่คำเตือนล่าสุดของ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ต่อกระบวนการภายในขององค์กรอิสระแห่งนี้ ถือเป็นสิ่งที่น่าคิดและเป็นเหมือนที่สะกิดเตือนไว้ กรณีเอกสารประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งหลุดก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เห็นว่าไม่ใช่สาระสำคัญไม่เป็นไร แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าให้พึงระวัง


อรชุน

บอกไปเมื่อวันวานเรื่องการทำงานของ กกต.ทั้งเจ็ด โดยเฉพาะท่าทีของ  อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ที่ไม่อินังขังขอบต่อข้อทักท้วงใด ๆ แต่คำเตือนล่าสุดของ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ต่อกระบวนการภายในขององค์กรอิสระแห่งนี้ ถือเป็นสิ่งที่น่าคิดและเป็นเหมือนที่สะกิดเตือนไว้ กรณีเอกสารประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งหลุดก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เห็นว่าไม่ใช่สาระสำคัญไม่เป็นไร แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าให้พึงระวัง

ตัวอย่างที่สมชัยยกมาบอกกล่าวนั้น หากเป็นเรื่องจริงถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งองค์กรที่จะต้องให้ความเป็นธรรมกับนักการเมืองและพรรคการเมือง อาจจะมีแต่เรื่องที่เล็ดลอดออกมา จนกระทบต่อความเชื่อถือเชื่อมั่น เหมือนดังที่อดีต กกต.ยกกรณี การประชุมอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงชุดหนึ่งที่เกี่ยวกับ 90 สนช. ที่ถูก เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบ

เพื่อพิจารณาว่า 90 สนช.ดังกล่าวขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งหรือไม่ เนื่องจากถือครองหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่าสมาชิก สนช.เหล่านั้นรู้ทุกอย่างที่อนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงดำเนินการ ทั้ง ๆ ที่ประเด็นการสืบสวนสอบสวนและการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต้องปิดเป็นความลับ การแจกคดีให้กรรมการชุดไหนต้องไม่แพร่งพราย ชื่อกรรมการต้องไม่เปิดเผย วันเวลาที่ประชุมต้องรู้ในแวดวงจำกัด

แต่กลายเป็นว่า สมาชิก สนช.เหล่านั้นล่วงรู้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวาระการประชุม วันเวลาที่จะประชุม รายชื่ออนุกรรมการ แนวทางการลงมติของอนุกรรมการ รู้แม้กระทั่งหมายเลขโทรศัพท์ของอนุกรรมการ และมีการโทรเข้าไปขอความช่วยเหลือจากอนุกรรมการบางคน โดยสมชัยยืนยันว่านี่ไม่ใช่การกล่าวหาลอย ๆ แต่มีหลักฐานการโทรเข้าด้วย

ถือเป็นสิ่งที่ กกต.ชุดนี้ซึ่งมีที่มาจากการเลือกขององคาพยพเผด็จการต้องพึงตระหนักเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากสังคมคาดหวังต่อการทำงานว่าจะเป็นไปอย่างอิสระและเป็นกลาง แต่หากระบบภายในเป็นอย่างที่สมชัยว่า ไม่อยากนึกว่าเมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่หาก กกต.ชุดนี้มั่นใจว่าระบบภายในดีและเข้มแข็งสุดยอดก็แล้วไป

ประสาคนเคยเป็น กกต.มาแล้ว สะกิดเตือนอย่างนี้ อย่าชะล่าใจก็น่าจะดี หรือคิดจะลองของก็ดีอีกเหมือนกัน เผื่อว่าในอนาคตเราอาจจะได้ยินได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่มบางพวก หรือการจงใจเล่นงานคนบางคนบางฝ่าย เพราะการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งถือเป็นผลงานที่ชี้วัดอะไรบางอย่างได้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ละครเรื่องพลังประชารัฐยังตบตาคนดูไม่จบไม่สิ้น จากที่วันก่อนบอกจะไปขอนโยบายของรัฐบาล คสช.มาเป็นนโยบายของพรรค ทำเหมือนประชาชนกินหญ้า มาวันนี้ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค กับ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พูดในเรื่องเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน แต่คนเขารู้กันทั้งบาง ไม่จำเป็นจะต้องมาเล่นเกมเพื่อสร้างภาพให้พรรคดูดีมีราคาแต่อย่างใด

ประเด็นเกี่ยวกับการวางตัว พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในส่วนของพรรค โดยสุวิทย์ยืนยันว่า พรรคจะส่งชื่อหัวหน้าเผด็จการเป็นแคนดิเดตนายกอันดับ 1 ของพรรคแน่นอน และจะมีการพูดคุยในพรรคอีกครั้งว่า 3 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคมีใครบ้าง ขณะที่สนธิรัตน์บอกว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะจะเลือกใครมาเป็นนายกฯ ต้องอยู่ในกระบวนการของพรรค

ไม่จำเป็นต้องเล่นแง่หรือดึงจังหวะอะไรต่อไป คนเขารู้กันตั้งแต่ไก่โห่ จะมาสร้างภาพอะไรกันอีก รู้กันไปถึงขนาดที่ว่าจะเสนอชื่อหัวหน้าเผด็จการเป็นแคนดิเดตรายชื่อเดียวเสียด้วยซ้ำไป หากเป็นการเขียนบทละครไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น คนดูเข้ารู้พล็อตเรื่องทั้งหมด ไม่ว่าจุดกำเนิด การเดินเรื่อง บทบาทของตัวละครแต่ละตัว และตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร

แต่จะเป็นเพียงละครเรื่องพลังประชารัฐเท่านั้นที่คนรู้ทันทั้งหมด เพราะภาคต่อที่ว่าพลังประชารัฐจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งแล้วชนะเลือกตั้งขาดลอยหรือไม่ ไม่มีใครคาดเดาได้ แต่ที่รู้และเห็นกันแน่ ๆ ก็คือตัวละครตัวนี้จะเป็นผู้ที่ได้รับการโอบอุ้มอย่างเต็มที่จากองคาพยพและอำนาจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ชนิดที่ว่ามีชีวิตอู้ฟู่หรูหรา ทำอะไรก็ง่ายดายเหมือนสุดยอดคุณชายในละครน้ำเน่ากันเลยทีเดียว

ไม่ต้องอะไรมากผลโพลเมื่อสัปดาห์ก่อนที่อ้างกลุ่มตัวอย่างเป็นหลักหมื่นและสำรวจพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมบทสรุปเพื่อไทยจะพ่ายแพ้หมดรูป บัตรคนจนจะถูกใจประชาชนกว่าประชานิยมของ ทักษิณ ชินวัตร อย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค โถ! ทำไมไปจับแพะชนแกะกันได้ขนาดนั้น เพราะทั้งสองอย่างเทียบกันไม่ได้แม้แต่น้อย

โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาประเทศไทย รัฐบาลเผด็จการก็ใช้สิ่งที่ทักษิณทำนี่แหละไปอวดกับนานาประเทศ ถ้าไม่ดีจริงป่านนี้ยกเลิกไปแล้วเช่นเดียวกับโครงการกองทุนหมู่บ้าน เรียกได้ว่าโพลที่ออกมาสร้างข้อกังขาให้กับสังคมส่วนใหญ่และพากันหัวร่อหงอหงาย เช่นที่ ไชยันต์ รัชชกูล จากคณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยาว่า  ต้องเอาใจกันขนาดนี้เลยใช่หรือไม่

ก็อย่างที่อาจารย์ท่านนี้สรุปนั่นแหละ คนที่ทำโพลดังว่าก็มีชื่อเสียงในแง่ความไม่เป็นกลาง ทำไมไม่ลองถามประชาชนเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำหรือดาวเทียมสอดแนมดูบ้าง ทั้งหมดคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ที่ใช้อคตินำ จนสถาบันทางการเมืองหมดความน่าเชื่อถือ แล้วลามมายังสถาบันการศึกษา ที่ใช้วิชาการเป็นฉากหน้า รับใช้อคติและผลประโยชน์ที่อยู่เบื้องหลัง ทุกเรื่องที่ทำอย่าคิดว่าคนรู้ไม่ทัน แต่มันทำอะไรไม่ได้เพราะเผด็จการยุคนี้ใช้ทุกวิชาสามานย์เล่นงานคนเห็นต่าง

Back to top button