ปีหน้าเผาจริง

เจสัน ดอว์ เป็นนักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนของธนาคารใหญ่ฝรั่งเศส โซซิเอเต้ เจนเนอราล ในสิงคโปร์ ล่าสุดเพิ่งออกบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก เป็นข่าวใหญ่


พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล

เจสัน ดอว์ เป็นนักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนของธนาคารใหญ่ฝรั่งเศส โซซิเอเต้ เจนเนอราล ในสิงคโปร์ ล่าสุดเพิ่งออกบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก เป็นข่าวใหญ่

ที่ใหญ่เพราะบอกว่าปีนี้ปีจอที่กำลังจะผ่านไปเป็นแค่การเผาหลอกเท่านั้น ปีหน้าตลาดเกิดใหม่จะมีปรากฏการณ์เผาจริง

คำทำนายอนาคตที่ยังมาไม่ถึงในเชิงลบอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ นายดอว์ไม่ได้พูดเป็นคนแรกในช่วงนี้

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ระดับโลกอย่าง ลิซ่า ฉั่ว แห่ง Man GLG เดวิด หวู่ แห่ง Bank of America และ คาร์เมน ไรน์ฮาร์ท แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้พากันออกมาป่าวประกาศข่าวร้ายว่าปีหน้า (ปีกุน) เป็นปีแห่งความเสี่ยงของตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่

เพียงแต่เจสัน ดอว์เรียกเสียงฮือฮามากกว่า เพราะมีคนเชื่อว่าเขาแม่นยำกว่าใคร ๆ จากปูมหลังที่ผ่านมานับแต่ต้นปีนี้

เหตุผลที่นายดอว์นำมาอธิบายก็ง่าย ๆ แต่รับฟังได้ นั่นคือ ปริมาณเงินหมุนเวียนในตลาดเก็งกำไรทั่วโลกจะเหือดหายลงไปมากทีเดียวเพราะมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของโลกจากสหรัฐฯ และล่าสุดสหภาพยุโรปที่เรียกว่า QE ถูกยกเลิกไป (เหลือแค่เพียงญี่ปุ่นที่คงเพิ่มมาทดแทนไม่ได้)

ปริมาณเงินที่เหือดแห้งลง ตามมาด้วยผลพวงต่อเนื่องของเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อของชาติต่าง ๆ จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราหวั่นไหว เงินจะไหลจากการปรับพอร์ตจากตลาดเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูงไปสู่ตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า

ตลาดตราสารหนี้ หรือตลาดพันธบัตรจะกลายเป็นตลาดที่ถือว่าปลอดภัยกว่า แต่ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน จะเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดเจนคือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะย่ำแย่ลงเพราะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ทำท่าบานปลายต่อเนื่องเป็นศึกยืดเยื้อยาวนาน

ดังนั้น ไม่ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะทุ่มเงินแทรกตลาดเงินมากแค่ไหน หรือราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลง ความเสี่ยงของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่อย่าง อินเดีย บราซิล จีน จะพุ่งแรง ส่วนตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ก็น่าจะมีผลข้างเคียงตามไปด้วย

การที่วันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ของตลาดวอลล์สตรีทดำดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ที่ทำให้นักลงทุนตระหนักชัดขึ้นว่า ปีนี้สิ่งที่นักวิเคราะห์หุ้นพยายามเรียกว่า “ซานต้า คลอส แรลลี่” อย่างผิด ๆ (เพราะความหมายเดิมนั้น เขาหมายถึงเดือนกันยายนทั้งเดือนก่อนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ไม่ใช่วันเดียว) ไม่น่าจะเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงวินโดว์เดรสซิ่ง ที่มักจะเอ่ยอ้างกันจนเป็นกิจวัตรนัก

คำถามสำหรับตลาดหุ้นไทยไม่ใช่แค่สัปดาห์นี้ แต่ตลอดจนถึงปีหน้าจึงหมกมุ่นกับว่า ดัชนี SET จะหลุดแนวรับ 1,600 จุดได้หรือไม่

แม้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ชัดว่า คำทำนายดังกล่าว จะถูกหรือแม่นยำขนาดไหน แต่นักลงทุนที่เปรียบเสมือน “ทหารผ่านศึก” มายาวนานไม่มีทางเลือกอื่น ต้องรับฟังเหตุผลและข้อมูล

หากย้อนดูคำทำนายอนาคตเชิงลบในหลายปีมานี้ นักพยากรณ์สำนักมองอนาคตเชิงลบที่เรียกฉายาว่า “Dr.Doom” พูดถึงเรื่องของปริมาณเงินที่จะหดหายจากการยกเลิกมาตรการ QE มาตั้งแต่ปี 2559 แล้ว แต่ผิดพลาดกันหมด เพราะอิทธิพลของ Trump’s Effect ปลายปีดังกล่าว จนถึงต้นปีนี้ที่ดัชนีดาวโจนส์บวกทะลุเหนือ 26,000 จุด ก่อนจะย่อตัวลงมาเพราะสงครามการค้าที่ร้อนระอุ

คำทำนายเมื่อสองปีเศษที่ว่าปัญหาเศรษฐกิจในชาติกำลังพัฒนาหรือตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกจากการขาดแคลนปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐ จากการที่นโยบายขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการยกเลิกมาตรการ QE ของสหรัฐฯ เพื่อนำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติของเศรษฐกิจ มีลักษณะวุ่นวายใกล้เคียงกับช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 เลยทีเดียว เพราะดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะทำให้กองทุนเก็งกำไรและธนาคารกลางทั่วโลกหันมาแย่งกันถือดอลลาร์ในมือมากขึ้นจนกระทั่งปริมาณดอลลาร์ในท้องตลาดไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับปริมาณเงินสกุลอื่น ๆ ที่อ่อนแอลง และเป็น “สงครามแย่งชิงดอลลาร์” ที่แตกต่างจากสงครามค่าเงินที่หลายคนเคยพูดถึง เพราะค่าเงินสกุลตลาดเกิดใหม่จะเริ่มทยอยพังทลาย และหลายประเทศที่มีหนี้ในรูปดอลลาร์จะวุ่นวายกับการปรับโครงสร้างหนี้มหาศาล หรืออย่างเลวสุดอาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจจากการก่อหนี้เกินกำลัง อาจจะผิดในช่วงที่ผ่านมา แต่อาจจะถูกในอนาคตอันใกล้ หากเกิดปรากฏการณ์ยุทธการ “แคร์รี่ เทรด ย้อนศรทางการเงิน” (currency’s inverted carry trade) กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง

ยุทธการที่ว่าคือ เพื่อจะกู้เงินไปเก็งกำไรค่าดอลลาร์อย่างเป็นกระบวนการ ผลลัพธ์คือ ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์หายไปจากท้องตลาดในอัตราเร่งมากขึ้น

สถานการณ์เช่นนี้ จะต่างจากช่วงเวลาที่ค่าดอลลาร์ต่ำ ในวิกฤติซับไพรม์ที่ผ่านมา

เกมแคร์รี่ เทรด ไม่ใช่ของใหม่สำหรับโลกทุนนิยม แต่กระแสโลกาภิวัตน์เปิดช่องให้ตลาดเคลื่อนไหวสะดวกมากขึ้น แม้กระทั่งตลาดที่ปิดบางส่วนอย่างจีน ยังได้รับผลกระทบรวมทั้งอานิสงส์มหาศาล

กลยุทธ์ แคร์รี่ เทรด ถือเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง ที่เฮดจ์ฟันด์ และกองทุนข้ามประเทศ พร้อมเสมอที่จะนำมาป่วนตลาดได้ การสิ้นสุดรอบ แคร์รี่ เทรดแบบหนึ่ง เปิดทางให้กับแคร์รี่ เทรดแบบอื่นทดแทน

ข้อสรุป “ปีเผาจริง” ของนักวิเคราะห์มองอนาคตเชิงลบ จึงเป็นคำเตือนสติที่ดี ไม่ว่ามันจะผิดหรือถูก

 

Back to top button