‘เม่า’ กระเป๋าแบน

นับจากต้นปีมาถึงวานนี้ (17 ธ.ค.)


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร 

นับจากต้นปีมาถึงวานนี้ (17 ธ.ค.)

นักลงทุนรายย่อย หรือที่เรียกกัน “แมงเม่า” ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 1.16 แสนล้านบาท

ผ่านมาถึงตอนนี้ ว่ากันว่า เงินที่เหลืออยู่บนหน้าตักของรายย่อยนั้น มีจำนวนไม่มากนัก มาร์จิ้นก็เล่นต่อไม่ได้

เหตุผลก็คือ ส่วนใหญ่ “ติดหุ้น” กันหมด ทำให้ต้อง  wait and see กันไปโดยปริยาย พร้อมกับมองราคาหุ้นของตัวเองดิ่งเหวลงทุกวัน

มีหลายคนพยายามที่จะ “ตัดขาดทุน” และซื้อต่อเพื่อถัวเฉลี่ย

ทว่า ราคาหุ้นก็ยังลงทุกวัน

ทำให้ตัดขาดทุนกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว โดยเฉพาะในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา

วันนี้ ข่าวหุ้นธุรกิจ” หน้า 5 มีรายงานเรื่องหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET50 หากนับจากต้นปี 2561 มาจนถึงเมื่อวานนี้ มีหุ้นที่ราคา “ปรับขึ้น” และ “ดิ่งลง” ทั้งหมดกี่ตัว

ปรากฏว่า มีหุ้นในกลุ่ม SET50 ขึ้นเพียง 16  ตัว

อีก 34 ตัวราคาร่วงลง

และที่ลงมาอย่างหนัก เช่น BEAUTY CBG KBANK IRPC EA และ ADVANC

หุ้นเหล่านี้ รายย่อยนิยมเข้าไปซื้อขายกันทั้งนั้น

นี่คือส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ว่า ทำไมมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลงมาเหลือเพียง 3-4 หมื่นล้านบาท

ภาวการณ์แบบนี้ทำให้มาร์เก็ตติ้งนั่งตบยุงกันเลย

ส่วนผลประกอบการของโบรกฯต่าง ๆ ในช่วงไตรมาส 4/61 ก็ไม่น่าจะออกมาดีมากนัก เช่น บริษัทหลักทรัพย์รายที่หวังพึ่งรายได้เทรดหุ้นเป็นหลัก

จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เพียงรายย่อยเท่านั้นที่ติดหุ้น

แต่นักลงทุนสถาบัน เช่น บรรดากองทุนทั้งหลาย ต่างก็มีผลประกอบการของกองทุนต่าง ๆ ไม่ค่อยดีนัก

โดยเฉพาะผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ของกองทุนหุ้นต่าง ๆ

ก่อนสิ้นปี ไตรมาส 4/61

กองทุนส่วนใหญ่อาจจะมีการทำ วินโดว์เดรสซิ่ง เพื่อสร้างตัวเลขให้ออกมาสวย ๆ เมื่อปิดสิ้นปีนั้น ๆ

แต่ปีนี้ เมื่อกองทุนต่างมีผลประกอบการไม่ดี ทำให้ต้อง “ปรับกลยุทธ์” ด้วยการขายหุ้นตัวที่มีกำไรออกมา สร้าง Performance ดี ๆ เพื่อบันทึกเป็นกำไรทันที

ทำให้ภาพของตลาดออกมา เป็น เช้าดัชนีเปิดบวก แต่พอเปิดตลาดภาคบ่ายกลับติดลบ

หรือดัชนีจะแกว่ง มีความผันผวนตลอดทั้งวัน เช่น เมื่อวานนี้ ที่ดัชนีมีความผันผวนสูงมาก ๆ ในช่วงภาคบ่าย

ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า สถานการณ์แบบนี้จะไปสิ้นสุดลงเมื่อไหร่

เพราะยากต่อการคาดเดามาก ๆ

ปัจจัยลบทั้งต่างประเทศ เช่น เทรดวอร์สหรัฐฯกับจีน และประเทศอื่น ๆ อีก ดอกเบี้ยเฟด ปัญหาในกลุ่มยุโรป  หรือในประเทศไทยเราเอง ล้วนยังไม่ลงเอยแบบสะเด็ดน้ำ

นี่ยังไม่รวมการประชุมของ กนง.ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ว่า จะขึ้นหรือคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50%

เพราะเรื่องนี้มีผลต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก

มีการวิเคราะห์ไปว่า หากราคาหุ้นจะกลับมา ก็ต้องลุ้นฟันด์โฟลว์วกกลับ

หรือมีเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เข้ามาเก็บหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่เหลือของปีนี้ แต่ก็เชื่อว่า บรรดารายย่อยก็น่าจะรีบขายเพื่อลดความเสี่ยงลง

ตลาดหุ้น นั้นก็คือ zero sum game

มีแพ้แล้วก็มีชนะ

แต่รายย่อยแพ้รอบนี้ ถึงกับกระเป๋าแบนกันไปเลยจริง

Back to top button