ความต้านทานต่ำโมนิก้าและทีมงาน

*ทันทีที่ตลาดหุ้นไทยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการระบาดของโรคเมอร์ส “โมนิก้า” ก็รู้ได้ทันทีว่าชะตากรรมของหุ้นสนามบิน สายการบิน โรงแรม และโรงภาพยนตร์ คงโดนถล่มจนราบเป็นหน้ากอง แต่ที่น่าประหลาดใจในคราวนี้ก็คือ หุ้นโรงพยาบาล กลับโดนทิ้งหนักกับเขาด้วย ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเรื่องนี้เป็นตัวฉุดความมั่นใจในการลงทุนอย่างแรง และจะกดดันบรรยากาศตลาดหุ้นไทยต่อไปอีกระยะหนึ่งเจ้าค่ะ


*ทันทีที่ตลาดหุ้นไทยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการระบาดของโรคเมอร์ส “โมนิก้า” ก็รู้ได้ทันทีว่าชะตากรรมของหุ้นสนามบิน สายการบิน โรงแรม และโรงภาพยนตร์ คงโดนถล่มจนราบเป็นหน้ากอง แต่ที่น่าประหลาดใจในคราวนี้ก็คือ หุ้นโรงพยาบาล กลับโดนทิ้งหนักกับเขาด้วย ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเรื่องนี้เป็นตัวฉุดความมั่นใจในการลงทุนอย่างแรง และจะกดดันบรรยากาศตลาดหุ้นไทยต่อไปอีกระยะหนึ่งเจ้าค่ะ

*โดยเรื่องราวดังกล่าวเริ่มต้นจากข่าวลือพบคนตะวันออกกลางเป็นโรคดังกล่าว ซึ่งทางการรีบออกมายืนยันว่าไม่มีคนติดเชื้อดังกล่าว แต่สุดท้ายก็จำนนด้วยหลักฐาน พร้อมกับแถลงรายละเอียดดังกล่าวให้ทราบนั้น! “โมนิก้า” ถือเป็นความบกพร่องที่ไม่ให้น่าอภัยเสียจริงๆ เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนในประเทศ และยังทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดโทรมลงไปอีกนะจ๊ะ

*งานนี้แนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ว่าแน่ๆ อาจเอาไม่อยู่ หลังอาการวิตกจริตแผ่ขยายในวงกว้าง และดึงดัชนีลงมาปิดที่ 1,491.46จุด ลบไป 16.58 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.50 หมื่นล้านบาท เท่ากับเป็นการตอกย้ำภูมิต้านทานของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างต่ำ มีเรื่องอะไรเข้ามานิดหน่อย ก็พร้อมจะเทขายหุ้นทันที “โมนิก้า” ถึงไม่แฮปปี้กับหุ้นขนาดใหญ่สักเท่าไหร่ เพราะเป็นหุ้นที่ทำรายย่อยกระเป๋าฉีกทุกทีนะคะ

*คิดดูแล้วกัน! ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน AAVเพิ่งได้รับคำสรรเสริญเยินยอเป็นหุ้นน่าลงทุน พอคล้อยหลังได้แค่วันเดียว หุ้นรูดมหาราชอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปรากฏว่าข่าว  ICAO ปักธงแดง และพบผู้ติดเชื้อโรคเมอร์สในประเทศไทย หุ้นถึงกับทรุดลงมาปิดที่ 4.22 บาท ลบไป 0.34 บาท หรือลงไป 7.50% “โมนิก้า” เม้าท์ได้ทันทีว่า นี่เป็นรายการป๊อก 2 เด้ง ทั้งวงโดนกินเรียบตามนโยบายเปิดบ่อนกาสิโนของ “บิ๊กอ๊อด”..อิอิอิ

*ไหนๆ เม้าท์มาถึงขั้นนี้แล้ว “โมนิก้า” ขอเม้าท์ถึงช็อตต่อเนื่องของเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อนักเล่นจะได้เห็นภาพของหุ้นที่เกี่ยวข้องได้ชัดเจนขึ้น เพราะด่านหน้าของโรคระบาดทั้งหมดเกิดจาก AOT โดยผลที่จะตามหลังมาก็คือ จำนวนคนใช้สนามบินจะลดลง หุ้นเลยโดนเทกระจาดตั้งแต่เช้า จนลงมาปิดที่ 290  บาท ลบไป 17 บาท หรือลงไป 5.50 % ด้วยมูลค่า 4 พันล้านบาท ทั้งที่กำลังจะพลิกแนวต้าน 320 บาทอยู่แล้วเชียว เดี๊ยนพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า มันเป็นสถานการณ์ที่โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ต้องทำใจสถานเดียวเจ้าค่ะ

*เหมือนกับในส่วนของสายการบินอื่นอย่าง BA NOK THAIล้วนตกอยู่ในชะตากรรมอันเจ็บปวดรวดร้าว บวกกับตัวเลขรายได้ และกำไรไม่เข้าเป้าเป็นทุนเดิม นักลงทุนสถาบันถึงขนหุ้นออกมาขายเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะในรายแรกถือเป็นปัญหาที่ต้องคิดหนัก เพราะราคาหุ้นไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน “โมนิก้า” ถึงมองไม่เห็นว่าหุ้นกลุ่มนี้จะฟื้นตัวได้อย่างไรนะตัวเอง

*เมื่อสถานการณ์ดังกล่าวแผ่ขยายเกินควบคุม หุ้นโรงพยาบาลที่เป็นต้นตอของเรื่องอย่าง BHจึงต้องออกโรงแถลงไขเรื่องราวด้วยตนเอง แต่ยิ่งพูด ยิ่งแย่ลง นักลงทุนพากันเทขายหุ้นตลอดเวลา จนฉุดหุ้นลงมาปิดที่ 178.50

บาท ลบไป 11.50 บาท หรือลงไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 800 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องของความไม่มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะทุกคนรู้ดีว่า โรงพยาบาลนี้รับคนไข้ที่มาจากตะวันออกกลางเยอะสุด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกหมอกับพยาบาลจะไม่ติดโรคล่ะค่ะ

*ผลพวงดังกล่าวกระทบชิ่งไปหา CENTELซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เซ็นทารา” จังเบ้อเร่อ ว่ากันว่าเรื่องนี้เป็นอาการกระต่ายตื่นตูม บวกกับกระแสข่าวหลายอย่างโหมกระหน่ำอย่างหนัก หุ้นถึงรูดลงมาปิดที่ 35 บาท ลบไป 7 บาท หรือลงไป 7.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 620 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ บวกกับกองทุนถือหุ้นอยู่เยอะ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจ จึงสาดทิ้งแบบไม่มีเยื่อใยเจ้าค่ะ

*ประเด็นดังกล่าวยังพาดพิงไปถึง MINTราคาหุ้นรูดลงอย่างหนัก ทั้งที่สัปดาห์ก่อนพยายามตั้งฐานแถว 30 บาทอยู่หลายครั้ง  พอเจอข่าวลบเข้าไปเท่านั้น หุ้นรูดลงมาปิดที่ 28 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 6.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเหตุการณ์โอเว่อร์รีแอ๊คเกินไปหน่อยมั่ง แต่เมื่อมองหุ้นที่กองอยู่เต็มหน้าตักกองทุน และฝรั่งตาน้ำข้าว ก็เป็นไฟต์บังคับที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้นะคะ

*เช่นเดียวกับในรายของ MAJORราคาหุ้นรูดลงมาปิดที่ 31.25บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 6% ล้วนเป็นผลพวงที่มาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดโรคเมอร์ส และโรงหนังก็เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้อย่างรวดเร็ว นักลงทุนสถาบันถึงทิ้งหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย งานนี้ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หุ้นก็จะกลับมาดีดั่งเดิมนะจะบอกให้

*ส่วนที่ดีแน่นอน และกำลังไปได้สวย “โมนิก้า” ขอพุ่งเป้าไปที่ AJD หลังราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เหมือนไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล ล่าสุดขึ้นมายืนอยู่ที่ 1.04บาท บวกไป 0.10บาท หรือขึ้นไป 10%  ด้วยมูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท เดี๊ยนถือเป็นช็อตเด็ดของพวกใจกล้า แถมได้ข่าวแว่วมาแต่ไกลว่างานนี้เป็นการพลิกโฉมบริษัทครั้งสำคัญ หุ้นคงไม่หยุดอยู่แค่นี้กระมัง..อิอิอิ

Back to top button