เยือนมุยเน่-ดาลัต-อุโมงค์กู๋จี

ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมคณะทัวร์กลุ่มไม่ใหญ่นัก เดินทางไปท่องเที่ยวเวียดนาม เลือกเอาเวียดนามภาคกลางตอนล่างที่เมืองมุยเน่ จังหวัดฟานเทียต เมืองดาลัต และกลับมาดูอุโมงค์กู๋จี


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมคณะทัวร์กลุ่มไม่ใหญ่นัก เดินทางไปท่องเที่ยวเวียดนาม เลือกเอาเวียดนามภาคกลางตอนล่างที่เมืองมุยเน่ จังหวัดฟานเทียต เมืองดาลัต และกลับมาดูอุโมงค์กู๋จี

หวังไปดูทะเลทรายที่มุยเน่ ดูเมืองตากอากาศของอดีตนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศสที่ดาลัต ดูอุโมงค์กู๋จีที่เป็นจิตวิญญาณการต่อสู้อันดุดันทรหดของชาวเวียดนาม และเปลี่ยนบรรยากาศมาหาความท้าทายใหม่ในสนามกอล์ฟ ที่ร่ำลือกันว่าเป็น “เพบเบิลบีช เอเซีย” และสนามเขาในเมืองตากอากาศที่สวยงาม

ผมลงเครื่องที่สนามบินเตินเซินเญิ๊ด นครโฮจิมินห์ หรือที่คนไทยคุ้นกับชื่อ “ตันซอนนุ๊ต” นครไซ่ง่อนในอดีตมากกว่า นั่งรถโค้ชขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ผ่านป่าเขาสูงชันก็ถึงมุยเน่ แต่ก็ต้องใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงแน่ะ เพราะถนนส่วนใหญ่เป็น 2 เลน สวนทางกัน

ถนนหลังเต่าหมดไปแล้วก็จริง แต่ถนนก็แคบมาก คนขับต้องใช้ฝีมืออย่างสูงเวลาหลบหลีกและเวลาแซง มีการขับรถปาดหน้าระยะประชิดให้เห็นกันตลอดทาง ทั้งเราปาดเขาและเขาปาดเรา โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่นี่ กล้าแลกกล้าปะทะกับรถใหญ่ ดูจะยิ่งเสียกว่ามอเตอร์ไซค์ที่เมืองไทยเสียอีก

แต่ก็น่าแปลก! ไม่พบเห็นอุบัติเหตุบนท้องถนนสักราย การขับรถปาดหน้ากันในเวียดนาม ไม่ถือเป็นเรื่องขุ่นเคืองหาเหตุทะเลาะเบาะแว้งกัน

ไก๊ด์เปรีบเทียบให้พวกเราฟังว่า กริยาภายนอกของคนเวียดนาม ดูเหมือน “ใจร้อน” แต่หารู้ไม่ว่าข้างในเป็น “ตู้เย็น” ส่วนคนไทยเรา ดูภายนอกเหมือน “ตู้เย็น” แต่ข้างในกลับเป็น “ภูเขาไฟ”

ก็เห็นจะจริงตามนั้น  โดยดูจากการขับรถนั่นอย่างหนึ่ง รถจอด 2 คันคนละฝั่ง มีช่องว่างอยู่นิดหน่อย รถคันที่ 3 ก็ยังพยายามจะแหวกไปให้ได้ แต่ก็ต้องแหย่หัวแช่ไว้อย่างนั้น เขาก็ไม่ได้โกรธถือสาอะไรกัน ลูกกอล์ฟตกบนกรีน แคดดี้ต่างคนก็ตั้งหน้าตั้งตาตั้งไลน์ โดยไม่รอตามลำดับให้ “ลูกไกล” พัตต์ไปก่อน

เวียดนามมี “ทะเลทราย” จริง ๆ ที่มุยเน่ด้วยล่ะ! มีทั้งทะเลทรายสีแดงและทะเลทรายสีขาว ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางไม่ใช่เล่น ๆ ลักษณะพื้นทรายเป็นทรายละเอียดคล้ายทรายชายหาด สันนิษฐานว่าเมื่อหลายพันปีก่อน น้ำทะเลคงท่วมถึงทั้งเมืองมุยเน่

นอกจากนั้นยังได้ชม “ลำธารนางฟ้า” ที่มีน้ำใสแจ๋วไหลบนพื้นทรายสีแดงเป็นระยะทางยาวกว่า 4 กิโลเมตร ลักษณะคล้าย ๆ แกรนด์ แคนยอนในอเมริกา

สำหรับนักกอล์ฟแล้ว การได้พักในรีสอร์ทสวยงามที่มีสนามกอล์ฟเลิศ 18 หลุม ถือเป็นสุดยอดปรารถนาที่สุดแล้ว ที่นี่มีรีสอร์ทระดับ 5 ดาว ชื่อว่า “ซีลิงค์ รีสอร์ท” สภาพเป็นสนามเขา ที่เห็นวิวทะเลโดดเด่นถึง 7 หลุม ถึงได้รับฉายาเป็น “เพบเบิลบีช เอเซีย”

เล่นแต่เช้าตรู่ชนิดเห็นลูกกอล์ฟลากผ่านน้ำค้างเป็นรอยเส้นยาวบนกรีน เลิกสัก 10.30 น.จากนั้นก็อาบน้ำทานข้าว เตรียมเดินทางโดยรถไปต่อเข้านครดาลัต ระยะทางในราว 250 กิโลเมตร ผ่านเขตป่าเขาสูงใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ที่นี่ บ้านเมืองสวยงาม มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง

ร้านรวงก็ออกแบบอย่างมีศิลปะในสไตล์ฝรั่งเศส มีร้านกาแฟที่เชิดหน้าชูตาอยู่หลายร้าน และร้านที่ขอแนะนำห้ามพลาดไม่ได้เลยก็คือ โดฮา คอฟฟี่ ร้านกาแฟสุดชิค ตัวอาคารเป็นรูปทรงคล้ายเปลือกหอย ล้อมด้วยกระจกและแสงไฟสีเขียว เป็นอาคาร 3 ชั้น มองเห็นวิวทะเลสาบและตัวเมืองได้อย่างชัดเจน อากาศก็เย็นสบายสมคำร่ำลือ ช่วงปีใหม่อุณหภูมิระดับ 15-16 องศา

พวกเราเข้าพักที่สวิสเบล ดาลัต ระดับ 5 ดาวท่ามกลางขุนเขา มีสนามกอล์ฟระดับแชมเปี้ยนชิป คอร์ส อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,500 เมตรภายในโรงแรมยามเช้าในสนาม อากาศไม่ถึงกับเย็นยะเยือก แต่ก็เย็นสบายอย่างมีความสุข

เป็นสนามที่ท้าทายแต่ก็มีความยุติธรรม

จากดาลัต เข้าสู่โฮจิมินห์ คราวนี้ใช้เครื่องบินเดินทางแล้ว เพราะหากให้นั่งรถกลับทางเดิมก็คงต้องใช้เวลารอนแรมเป็น 9-10 ชั่วโมง สังขารคงไม่อำนวย มีเที่ยวบินตรงจากดาลัตเข้าโฮจิมินห์ ระยะทาง 300 กิโลเมตร ใช้เวลาบินประมาณ 40 นาทีเท่านั้น

เราเลือกไปดูอุโมงค์กู๋จี ซึ่งแคล้วคลาดการเจอะเจอกับผมมาหลายครั้งหลายคราแล้ว เที่ยวนี้จึงไม่พลาดอีก เป็นอำเภอหนึ่งของเขตนครโฮจิมินห์ อยู่ห่างไปทางตะวันตกเฉียงเหนือในราว 70 กิโลเมตร

ณ ที่แห่งนี้ คือศูนย์รวมจิตวิญญาณการต่อสู้แห่งประชาชาติเวียดนาม และให้บทเรียนอย่างเจ็บแสบแก่ศัตรูผู้รุกราน

ภูมิประเทศอำเภอกู๋จีเป็นที่ราบต่ำ ง่ายต่อการที่ศัตรูจะเข้าล้อมปราบทำลายโดยง่าย ผิดกับภูมิประเทศเขาสูง ซึ่งจะช่วยป้องกันตัวเองจากศัตรูได้เป็นอันดี แต่ชาวบ้านกู๋จีก็แปรเปลี่ยนจุดอ่อนตัวเองให้เป็นจุดแข็ง โดยการขุดอุโมงค์ ซึ่งในนั้นมีทั้งโรงพยาบาล โรงงานคลังแสงอาวุธ โรงเรียน ห้องประชุม ห้องครัว และพื้นที่ทำลายล้างศัตรูที่รุกรานเข้ามา

เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนี ข้าตาม” คือสุดยอดวิชาจรยุทธ์ที่เวียดกงใช้กับทหารสหรัฐฯและพันธมิตร เป็นอุโมงค์ที่อิงแนบไปกับธรรมชาติ และเดาไม่ถูกว่าทางขึ้นทางลงจะอยู่ตรงไหน และจะไปต่อเชื่อมกับตรงไหน ความยาวอุโมงค์รวมกัน 250 กิโลเมตร เชื่อมโยงกันเป็นใยแมงมุม

กู๋จี” จึงเป็นทั้ง “อุโมงค์สังหาร” และ “อุโมงค์นวัตกรรม” ไปในตัว ทหารอเมริกันต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียนักต่อนัก

รายการที่ไม่อาจพลาดได้ของกู๋จีคือ การยิงปืนกระสุนจริงจากปืนอาวุธหนักทั้งอาร์ก้า  M16 เซกาเซ คาร์บิ้น และ M60 ปืนกลเบาที่ยิงเป็นชุด

อิ่มเอมจากเวียดนาม ก่อนจะกลับมารับมือกับปีหมูหินที่เมืองไทยด้วยใจระทึก

 

Back to top button