พาราสาวะถี
ปากพาจนหรือกลอนพาไปไม่ทราบ จู่ ๆ ยงยุทธ ติยะไพรัช กองเชียร์พรรคเพื่อชาติก็โพล่งออกมาบนเวทีปราศรัยที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ว่าจะพา ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที จนร้อนถึง เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ ต้องออกมาแก้ต่างพัลวันว่าสิ่งที่อดีตประธานรัฐสภารายนี้พูดนั้นไม่มีในนโยบายของพรรค
อรชุน
ปากพาจนหรือกลอนพาไปไม่ทราบ จู่ ๆ ยงยุทธ ติยะไพรัช กองเชียร์พรรคเพื่อชาติก็โพล่งออกมาบนเวทีปราศรัยที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ว่าจะพา ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที จนร้อนถึง เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ ต้องออกมาแก้ต่างพัลวันว่าสิ่งที่อดีตประธานรัฐสภารายนี้พูดนั้นไม่มีในนโยบายของพรรค
สงสัยคงต้องสังคายนากระบวนคิดกันใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นการเอาใจนายใหญ่ สร้างมูลค่าให้กับตัวเอง เพิ่มพลังบวกให้พรรคหรืออย่างไร แต่คงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของกองเชียร์เป็นแน่แท้ เหมือน ๆ กับที่ จตุพร พรหมพันธุ์ กองเชียร์พรรคเพื่อชาติอีกราย ที่มีปัญหากับนายใหญ่ก่อนการล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่เห็นด้วยต่อการผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย
จะเรียกว่าเป็นความอ่อนด้อยทางการเมืองคงไม่ใช่ เพราะคนอย่างยงยุทธนั้นผ่านความเขี้ยวมาแล้วแน่นอนในฐานะศิษย์เก่าประชาธิปัตย์ คงไม่ใช่การโพล่งแบบเลื่อนลอย แต่จะหวังผลอย่างไรคงมีแต่เจ้าตัวและแกนนำของพรรคเกาะกลางเท่านั้นที่รู้กันดี ทว่างานนี้เข้าทางฝ่ายกุมอำนาจเมื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกทันควันรัฐบาลคสช.ไม่ได้ห้ามทักษิณกลับประเทศ แต่ต้องมาเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเสียก่อน ตีกินกันแบบนิ่ม ๆ
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ทำให้คนไม่เชื่อในสิ่งที่บิ๊กป้อมยืนยัน นั่นก็คือไม่เคยพบปะพูดคุยกับคนแดนไกลแต่อย่างใด ซึ่งคงไม่มีใครที่จะออกมายอมรับเป็นแน่ แต่เป็นที่รู้กันว่ารายทางของการอยู่บนอำนาจนั้น ย่อมมีการเจรจา ต่อรองเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมของฝ่ายกุมอำนาจ ขณะเดียวกันการล่องหนของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคืนก่อนที่จะมีการพิพากษาคดีจำนำข้าว ก็เกิดคำถามตัวโตต่อผู้มีอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ปมถูกบิ๊กป้อมพาดพิงประสาไก่เห็นตีนงู นายใหญ่ไม่ยอมปล่อยผ่านโดยทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ด้วยข้อความไม่เยิ่นเย้อแต่ได้ใจความ “ป้อมบอกให้ผมกลับเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ป้อมส่งคนของป้อมเข้าไปนั่งทั้งนั้น ผมว่าป้อมทำเรื่องของตัวเองให้เคลียร์ดีกว่าไหม เอาเด็กหน้าห้องป้อมออก แล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาพิจารณาเรื่องนาฬิกายืมเพื่อนแทน เพราะกระบวนการยุติธรรมแบบป้อม ๆ มันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว” เจอเรื่องเกาะโต๊ะขอเก้าอี้ทำจุกไปที หนนี้ไม่รู้จะโต้กลับอย่างไร
เรื่องเลื่อนเลือกตั้งฟัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปพูดกับชาวนครศรีธรรมราชระหว่างการเดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบภัยพายุโซนร้อนปาบึกแล้ว ต้องบอกว่าหาคนเชื่อยาก ทั้งประเด็นไม่คิดที่จะเลื่อนหรือล้มการเลือกตั้ง ก่อนจะตามมาด้วยประโยคเด็ด ถ้าคิดจะอยู่นานไม่จำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งก็ได้ พูดมันง่ายแต่กล้าทำจริงหรือเปล่า
เข้าทำนองปากกล้าขาสั่น อย่างที่รู้กันไม่มีวันที่ผู้นำเผด็จการและคณะจะลากยาวโดยไม่จัดการเลือกตั้ง เพราะปัญหาสำคัญที่ประชาชนทุกคนต้องการคือเรื่องปากท้องยังไม่ได้รับการแก้ไข ในภาวะที่การเมืองมีเสถียรภาพ ไร้ม็อบกดดันไร้เกมการเมืองข้างถนน แต่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลคสช.ก็บ่มิไก๊หมดปัญญาที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีแต่สาละวันเตี้ยลง
คงไม่ต้องบอกว่าถ้าขืนทู่ซี้ต่อไปจะเจอสภาพอย่างไรบ้าง ไม่เพียงเท่านั้น แรงกดดันจากภายนอกก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ มิเช่นนั้น ท่านผู้นำและลิ่วล้อคงไม่ไปเที่ยวโพนทะนารับปากผู้นำนานาชาติถึงการจัดการเลือกตั้งเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม้จะมีการเลื่อนมา 4 ครั้งแล้วก็ตาม นั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่า การยอมรับจากต่างประเทศต่อรัฐบาลเผด็จการนั้นมีมากน้อยเพียงใด
ไม่มีใครขัดหรือเห็นเป็นอย่างอื่นต่อการที่รัฐบาลยกเอางานพระราชพิธีที่สำคัญของคนไทยมาเป็นเงื่อนไขสำคัญให้กกต.พิจารณาว่าควรจะจัดการเลือกตั้งวันไหน อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่องานพระราชพิธี แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและคิดว่าไม่ควรจะได้เห็นภาพนั้นคือ ในเมื่ออำนาจในการประกาศวันเลือกตั้งเป็นของกกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ เหตุใดคนในรัฐบาลจึงออกลูกชี้นำ ทำเป็นเหมือนสามารถสั่งการแทรกแซงกกต.ได้
ยิ่งบทสัมภาษณ์ของพลเอกประวิตรต่อกรณีวันเลือกตั้งที่ระบุว่า กกต.ต้องพิจารณาให้รอบคอบแม้จะมีการคัดค้านก็ตาม การทิ้งติ่งเช่นนี้มันเป็นเหมือนสัญญาณบางประการ เป็นการตอกย้ำภาพว่าองค์กรอิสระแห่งนี้ยอมศิโรราบให้กับอำนาจเผด็จการ ภาพของการขอมาตรา 44 คุ้มกะลาหัวต่อการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งล่าสุด ถือเป็นเครื่องหมายการค้าว่าผู้ที่ทำหน้าที่จัดการการเลือกตั้งของประเทศ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง คอยแต่จะรับฟังคำสั่งจากผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างเดียว
หัวใจสำคัญของวันเลือกตั้งคงอยู่ที่การประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้ได้ร้อยละ 95 ภายใน 60 วันที่วันนี้ยังเกิดปุจฉา นับรวมห้วงระยะเวลา 150 วันที่จะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทว่ามีเสียงจำนวนไม่น้อยมองกันไปไกลกว่านั้นว่า ไม่น่าจะเป็นข้อกังวลของกกต.ถ้าจะรับใบสั่งทำตามบัญชา เพราะผลการตีความหากมีคนยื่นร้องไม่น่าจะระคายผิวแต่อย่างใด
เหตุผลที่คนจำนวนไม่น้อยเชื่ออย่างนั้น เนื่องจากผลแห่งการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระทั้งหลายที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นป.ป.ช.ต่อกรณีนาฬิกาหรูและอื่น ๆ ที่ชวนให้สังคมเกิดข้อกังขา ผลการทำงานของกกต.ตั้งแต่คราวทำตัวไม่อยากจัดเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2557 ดังนั้น กระบวนการหากมีคนยื่นตีความเรื่องกระบวนการเลือกตั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรอิสระเหมือนกัน ความไว้วางใจของผู้คนก็อยู่ในระดับที่ไม่ต่างจากองค์กรอิสระทั้งสองแห่งแต่อย่างใด
หากยึดเอาบรรทัดฐานการตีความเรื่องรถไฟความเร็วสูงที่มีปมถนนลูกรังเข้ามาเกี่ยวข้อง หากยึดเอาการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ในประเด็นที่ให้มีการเลือกตั้งส.ว.ทั้งหมดแทนการลากตั้ง แล้วถูกตีความว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ก็จะทำให้เห็นทิศทางของการตีความต่อประเด็นการเลือกตั้งและการทำหน้าที่ของกกต.ชุดนี้ได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้รับการงดเว้นไม่เซตซีโร่จากองคาพยพของเผด็จการด้วยแล้ว ย่อมมีผลต่อกระบวนการการทำงานที่จะเดินกันต่อไปเป็นอย่างยิ่ง