ปัจจัยลบ(ยัง)รุมเร้า

ตลาดหุ้นปี 2561 ทั้งเซียนและหมูต่างอยู่รูกันถ้วนหน้า


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

ตลาดหุ้นปี 2561 ทั้งเซียนและหมูต่างอยู่รูกันถ้วนหน้า

เพราะปัจจัยลบที่เข้ามาอยู่นอกเหนือจากคาดการณ์กันเอาไว้มาก

ดัชนีปิดสิ้นปี ผิดคาดจากที่นักวิเคราะห์และบรรดาเซียนหุ้นต่างคาดกันไว้ในช่วงต้นปี กลางปี ก่อนที่จะมาปรับเป้าหมายกันในช่วงใกล้สิ้นปีอีกครั้ง

เช่นเดียวกับปี 2562 ล่าสุดจากข้อมูลสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

เป้าตัวเลขดัชนีปีนี้ออกมาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,782 จุด

และกรอบดัชนีคือ 1,529-1,834 จุด

นั่นหมายความว่า มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับลงไปถึง 1,529 จุด (หรือเปล่า)

ทว่า ผ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะยังเร็วไปที่จะสรุปว่า ตลาดหุ้นจะไปถึงเป้าหมายหรือไม่

เพราะจากปัจจัยลบในช่วงต้นปี 2562 ที่ยังเข้ามาต่อเนื่องจากปี 2561 ทำให้เริ่มหวั่น ๆ ว่า ปีนี้ตลาดหุ้น จะฟื้นตัวจากปี 2561 จริงหรือไม่

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยังคงขึ้น ๆ ลง ๆ

แต่ดูเหมือนจะยังปรับลงมากกว่า

เช่นเดียวกับทางฝั่งยุโรป และสหรัฐฯ ที่ดัชนียังเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยลบที่ตามมารบเร้าตั้งแต่ปีที่แล้ว

ส่วนตลาดหุ้นไทย อย่างที่เคยเขียนบอกไปว่า 60-70% จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างประเทศ

ผ่านมาถึงตอนนี้ ปัจจัยจากต่างประเทศยังคงอึมครึม พลอยทำให้ตลาดหุ้นไทยยังดูซึม ๆ ดัชนียังไม่สามารถดีดกลับขึ้นมายืนเหนือ 1,600 จุดได้

จากต้นปี ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,563-1,590 จุด

แนวต้านสำคัญยังคงอยู่ที่ 1,600 จุด

ในเบื้องต้น นักวิเคราะห์ต่างมองว่า น่าจะยังคงผ่านยาก

เหตุผลก็เพราะนอกจากปัจจัยต่างประเทศที่ยังฝุ่นตลบ

ด้านในประเทศก็ยังวุ่น ๆ ไม่แพ้กัน

อย่างเรื่องการเลือกตั้งที่ยังไม่ได้กำหนดวันชัดเจน แม้ว่าล่าสุด นายกรัฐมนตรี จะยืนยันว่า “มีเลือกตั้งแน่นอน” และจะต้องก่อนวันที่ 9 พฤษภาคมนี้

แต่เหมือนกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนนั้นหมดไปแล้ว

และเข้าใจว่า ประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง หากจะให้มีความมั่นใจ หรือเป็นเชิงบวกกับตลาดหุ้นจริง ๆ

ก็ต้องรอให้มีกฤษฎีกาที่ระบุวันเลือกตั้งออกมานั่นแหละ

นักลงทุนชอบความชัดเจนครับ

อีกประเด็นที่น่ากังวล เคยเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คือ ผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์

เริ่มจากกลุ่มทิสโก้ TISCO ที่เป็น บจ.แห่งแรกแจ้งงบไตรมาส 4 และปี 2561 ออกมา

หากกลุ่มทิสโก้ แจ้งตัวเลขผลประกอบการ และพิจารณาดูแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นสัญญาณเชิงลบกับหุ้นในกลุ่มการเงิน ก็น่าจะช่วยประคองบรรยากาศตลาดหุ้นให้ดีต่อไปได้

แต่เหมือนจะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังกันล่ะ

เพราะ NPL ของทิสโก้เพิ่มขึ้น จากความเข้มงวดในการจัดชั้นหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะจากสินเชื่อรถยนต์

ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่า หุ้นการเงินตัวอื่น ๆ จะได้รับผลกระทบหรือไม่

และนั่นจึงเป็นเหตุให้ราคาหุ้นทั้ง บัตรกรุงไทย KTC เมืองไทย แคปปิตอล MTC และ ศรีสวัสดิ์ฯ SAWAD พากันร่วงหัวทิ่มกันถ้วนหน้า เพราะหวั่นว่าจะต้องจัดชั้นหนี้เหมือนทิสโก้ จนส่งผลให้ภาพรวมของตลาดไม่ดีนัก

และส่งผลให้ตัวเลขเงินกองทุนลดลง เอ็นพีแอลเพิ่ม กระทั่งส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิ

แต่ล่าสุดได้รับการยืนยันจากผู้บริหารของ MTC และนักวิเคราะห์ที่มีการประชุมกันทางโทรศัพท์กับผู้บริหาร MTC ว่า กรณีของทิสโก้ (สมหวัง เงินสั่งได้) ไม่ได้มีผลกระทบเชิงลบ

นั่นเพราะที่ผ่านมาได้จัดชั้นหนี้เอ็นพีแอล เป็นไปตามเกณฑ์ของ ธปท.อยู่แล้ว

หลังจากมีข้อมูลออกมา ทำให้ราคาหุ้นทั้ง MTC และ SAWAD กลับมาฟื้นตัวได้บ้าง

แต่ยังมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างจากนักลงทุนที่เข้าไปเก็บหุ้นในช่วงที่ราคาหุ้นลงมาต่ำมาก

เท่านั้นยังไม่พอเพราะในระหว่างวัน กลับมีข่าวออกมาอีกว่า BBL อาจมีหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2561 ทำให้ราคาหุ้นปรับลงมา ก่อนที่จะมีข้อมูลจากโบรกฯ ว่า ผลประกอบการของ BBL น่าจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์

ปิดตลาดให้ราคาหุ้น BBL กลับมายืนเสมอตัวได้

ส่วนวันนี้ SCB BAY และ LHFG จะแจ้งผลประกอบการไตรมาส 4/2561

มาลุ้นกันว่าจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดกันไว้หรือไม่

 

Back to top button