หุ้นธนาคารพลวัต2015

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าบวกกันเกือบทั่วโลก ขานรับข้อตกลงที่เจ้าหนี้ยูโรโซนขับเคลื่อนดันให้กรีซดำเนินการเอาข้อเสนอผ่านรัฐสภาให้เป็นรูปธรรมให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง (ตรงกับเช้าวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน) ยกเว้นตลาดหุ้น 4 แห่ง คือ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่พากันลบเล็กๆ น้อยๆ


เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าบวกกันเกือบทั่วโลก ขานรับข้อตกลงที่เจ้าหนี้ยูโรโซนขับเคลื่อนดันให้กรีซดำเนินการเอาข้อเสนอผ่านรัฐสภาให้เป็นรูปธรรมให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง (ตรงกับเช้าวันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน) ยกเว้นตลาดหุ้น 4 แห่ง คือ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่พากันลบเล็กๆ น้อยๆ

หลายคนมองว่า นี่เป็นการพักเหนื่อย เพื่อไปดันอีกที 2 วันข้างหน้า จนถึงสิ้นเดือน แต่สำหรับตลาดไทยมีคำอธิบายแปลกๆ ว่า พวกกองทุนรอทำวินโดว์เดรสซิ่งไปพร้อมๆ กัน จะได้สมบทบาทว่าแต่ละไตรมาสต้องมีวินโดว์เดรสซิ่ง

บ้าไปแล้ว ทำยังกับเป็นจารีตว่ากองทุนต้องทำวินโดว์เดรสซิ่งเป็นเสมือนเทศกาลประจำไตรมาส

โดยทั่วไปแล้ว วินโดว์เดรสซิ่งมักทำเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นหลัก ไม่มีที่ไหนทำกันทุกไตรมาส จะมีก็แต่เมืองไทยเท่านั้นที่ชอบอ้างกันเหลือเกิน ทั้งที่ไม่จำเป็น

เรื่องวินโดว์เดรสซิ่ง ไม่ใช่ประเด็นหลักในวันนี้ เพราะมีข้อสังเกตน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อวานนี้คือ หุ้นธนาคาร กลายเป็นหุ้นที่ถ่วงตลาด และทำให้ดัชนีตลาดติดลบเมื่อวานนี้อย่างมีนัยสำคัญ

ตลอดทั้งวันเมื่อวานนี้ แทนที่กองทุนหรือพอร์ตโบรกเกอร์จะเข้าซื้อหุ้นธนาคารเพื่อผลักดันดัชนีขึ้นไปเหมือนทุกครั้ง เพราะมีน้ำหนักถ่วงต่อดัชนีมากกว่าหรือเท่ากับหุ้นกลุ่มพลังงาน หรือสื่อสาร แต่กลับเทขายเป็นช่วงๆ เมื่อดัชนีทำท่าจะวิ่งขึ้น ผลลัพธ์คือการเสียจังหวะของการขึ้น เป็นเช่นนี้ตลอดช่วงที่ตลาดเปิด จนท้ายตลาดแรงเทขายหุ้นธนาคารก็ยังแรงจนดัชนีถล่มทำให้เกิดแรงขายอื่นตามดันจนดัชนีติดลบ

หุ้นธนาคารที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่อย่าง KBANK SCB BBL KTB และ BAY ไม่มีตัวไหนบวกเลย โดย KBANK BBL และ BAY ปิดลบ และที่หนักกว่าใครคือ KBANK-F กระดานต่างประเทศลบแรงกว่าตัวอื่นๆ เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ดัชนี SET ปิดลบ

ยิ่งเมื่อตัวเลขการขายชอร์ตของกองทุนในดัชนี SET50 ล่วงหน้า มากกว่า 8.200 สัญญาวานนี้ ก็จะเห็นชัดว่า มายาคติที่ผู้จัดการกองทุนว่าเอาไว้ในการทำวินโดว์เดรสซิ่ง เป็นแค่ภาพลวงที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ใช่หลักการ

หากพิจารณาจากการซื้อขายรายกลุ่ม พบว่า ยอดขายหนักสุดคือ ต่างชาติ ตามมาด้วยรายย่อย ดังนั้น หากจะตั้งสมมติฐานว่า ต่างชาติขายหุ้นธนาคารเพื่อดึงดัชนี SET ไม่ให้ขึ้นต่อ ก็ถือว่าสมเหตุสมผล นั่นก็หมายความว่า หุ้นธนาคารกลายเป็นเครื่องมือในการดันหรือทุบราคาของต่างชาติ หรือกองทุน เพราะการดันราคาหุ้นธนาคารเท่ากับการดันทิศทางของดัชนีให้เป็นไปได้ดังใจ

การที่หุ้นธนาคาร ซึ่งปัจจุบันถือว่าพี/อีต่ำกว่าตลาดมาก เพราะในบรรดาธนาคารขนาดใหญ่นั้น พี/อีเฉลี่ยไม่เกิน  9  เท่ากันทั้งหมด ขณะที่พี/อี ตลาดอยู่ที่ 20 เท่า ได้กลายเป็นเครื่องมือในการทุบหรือดันดัชนี จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พึงพิจารณาว่า คนทำต้องการอะไรกันแน่ และได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นว่านั้น

จากภาพรวม ปีนี้หุ้นธนาคารถือว่าเหมาะกับการใช้เป็นกลไกเอาไว้ถ่วงดัชนีตลาดมาก เนื่องจากความกังวลในเรื่องหนี้สูญ หรือการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จากการที่ลูกค้าของธนาคารมีปัญหาทางการเงิน ซึ่งเป็นตัวการทำให้กำไรสุทธิของธนาคารต่ำลง ทำให้หุ้นธนาคารถูกนักลงทุนรายย่อยหมางเมิน เหมาะสำหรับนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันจะเข้าครอบงำราคาได้ง่าย เพราะไม่ต้องใช้จำนวนหุ้นมากมายเหมือนอดีต

หลายปีมานี้หุ้นธนาคารถือเป็นกลุ่มหุ้นหลักที่ต้องซื้อขายของบรรดากองทุนและต่างชาติเมื่อเกิดกระแสฟันด์โฟลว์ เพราะมีกำไรสุทธิที่เติบโตสวยหรูมาต่อเนื่อง โดยที่กำไรเติบโตเหนือกว่าภาคธุรกิจการผลิตและพาณิชยกรรม และยังมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น

ปีนี้รายได้จากดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยมีสัดส่วนลดลง ต้องเร่งหารายได้จากธุรกรรมที่มิใช่ดอกเบี้ยของธนาคารมากขึ้น แม้ว่ารายได้จากส่วนนี้จะสร้างปัญหาให้เกิดเสียงบ่นจากลูกค้ามากขึ้น

นอกจากนั้น กฎที่เข้มงวดของ BASEL3 ทำให้ธนาคารถูกบังคับต้องตั้งสำรองในกรณีมีหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งเรียกกันว่า อัตราส่วนสำรองต่อหนี้สงสัยจะสูญ หรือ coverage ratio per NPL มีส่วนรบกวนความสามารถทำกำไรของธนาคารค่อนข้างมาก ทำให้ธุรกิจธนาคารมีอัตรากำไรสุทธิมีแนวโน้มต่ำลงเมื่อเทียบกับธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร

เสน่ห์ที่ลดลงของหุ้นธนาคาร ทำให้เปิดทางให้บรรดานักลงทุนสถาบันอย่างกองทุน พอร์ตโบรกเกอร์ และต่างชาติ ฉวยโอกาสเข้าครอบงำราคาหุ้นธนาคาร จนเริ่มสูญเสียสภาพธรรมชาติของหุ้นบลูชิพโดยปริยาย

ราคาหุ้นของธนาคารในหลายเดือนมานี้ มักจะมีนักวิเคราะห์ออกมาระบุว่า แม้จะราคาไม่สูงมากนัก และมีพี/อีที่ต่ำ แต่มีความเป็นไปได้ว่า ค่าพี/อีในอนาคตจะแพงกว่าปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในหุ้นธนาคารมากขึ้น

ปรากฏการณ์เมื่อวานนี้ ซึ่งหุ้นธนาคารถูกทั้งกองทุน และ/หรือ ต่างชาติใช้ทุบตลาดหุ้นไทย ดึงดัชนีให้ติดลบท้ายตลาด ทำให้สิ่งที่มีคนเคยพูดว่าหุ้นบลูชิพอย่างธนาคาร ไม่มีใครครอบงำราคาได้ ไม่จริงเสียแล้ว

เหตุผลก็มีอยู่ว่า ต้นทุนของการดันและทุบหุ้นธนาคารในยามนี้ ไม่แพงมากเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

 

Back to top button