พาราสาวะถี
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวานนี้ สำหรับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งส.ส.เป็นการทั่วไป และในวันเดียวกันกกต.ได้ประชุมพร้อมแถลงข่าวทันทีถึงการกำหนดวันเลือกตั้ง เป็นไปตามคาด นับจากนี้ไปอีก 1 เดือน 24 มีนาคมเป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศจะได้หย่อนบัตรเลือกผู้แทนราษฎรไปทำหน้าที่ และหวังว่าจะมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ
อรชุน
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวานนี้ สำหรับพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งส.ส.เป็นการทั่วไป และในวันเดียวกันกกต.ได้ประชุมพร้อมแถลงข่าวทันทีถึงการกำหนดวันเลือกตั้ง เป็นไปตามคาด นับจากนี้ไปอีก 1 เดือน 24 มีนาคมเป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศจะได้หย่อนบัตรเลือกผู้แทนราษฎรไปทำหน้าที่ และหวังว่าจะมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ
อย่างไรก็ตาม กระบวนการที่เกี่ยวข้องซึ่งกกต.ต้องดำเนินการหลังมีพระราชกฤษฎีกานอกเหนือจากการกำหนดวันเลือกตั้ง ก็คือกำหนดวันเปิดรับสมัครส.ส.ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ประกาศรายชื่อผู้สมัครวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 4-16 มีนาคม และการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้งวันที่ 17 มีนาคม
นอกจากนั้น ยังจะต้องประกาศกำหนดจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขตที่แต่ละจังหวัดพึงมี และจำนวนเขตเลือกตั้งแต่ละจังหวัด กำหนดสถานที่ที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ถือเป็นงานตามกระบวนการที่จะถูกจับตามากที่สุดคือการอำนวยความยุติธรรมให้กับพรรคการเมือง เพราะนั่นจะเป็นภาพสะท้อนว่าองค์กรอิสระแห่งนี้มีความโปร่งใส เป็นธรรม ในการจัดการเลือกตั้งหรือไม่
ทันทีทันใดหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งส.ส. สำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้ออกแถลงการณ์ สรุปความได้ว่า เป็นการยืนยันว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นแน่นอน พร้อมกับการปฏิเสธเรื่องแทรกแซงหรือชี้นำกกต. รวมไปถึงการเรียกร้องให้พรรคการเมืองและประชาชนทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย
สำนวนในแถลงการณ์นั้นคุ้น ๆ เหมือนเป็นคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บวก วิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ยินได้ฟังกันมาตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถูกจับตาตามมาหนีไม่พ้น 4 รัฐมนตรีที่เป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ จะไขก๊อกกันเมื่อไหร่ จะทู่ซี้อยู่อีกระยะคงลำบากในแง่การยอมรับจากประชาชน
ยิ่งฟังคำพูดแผ่นเสียงตกร่องของ กอบศักดิ์ ภูตระกูล ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่ปนสังเวชใจบอกไม่ถูก ปากก็บอกว่า 4 รัฐมนตรีเสียเปรียบพรรคการเมืองอื่นเพราะหาเสียงไม่ได้ 24 ชั่วโมงต้องรอหลังเวลาราชการเท่านั้น แหม!เด็กอมมือมันยังอ่านออก ไม่ต้องมาเรียกร้องขอความเห็นใจ ที่ยังสวมหัวโขนเสนาบดีอยู่นั้น ในทางการเมืองเขาไม่ได้มองว่าเสียเปรียบแต่เป็นการกุมความได้เปรียบแบบเต็ม ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น หากรู้สึกว่าทำงานการเมืองไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจริง ทำไมไม่ลาออกตั้งแต่ตัดสินใจไปรับเก้าอี้ในพรรคการเมืองแล้ว จะได้มีเวลาไปเดินเกมการเมืองเต็มที่ แต่นี่เลือกที่จะยื้อกันจนมาถึงวินาทีนี้ ใครก็รู้ทัน ไม่ต้องอ้างเรื่องจะเสียงานการบริหารประเทศ เพราะการขาด 4 รัฐมนตรีไป ไม่เชื่อว่าหัวหน้าเผด็จการจะไม่มีปัญญาหาคนมาทำงานแทน
ขณะเดียวกัน ทุกกระทรวงต่อให้ไม่มีรัฐมนตรีช่วย แต่ก็มีรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลอยู่แล้ว ยิ่ง 4 รัฐมนตรีเป็นเด็กในคาถาของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยิ่งเป็นงานง่ายในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่จะดูแลเองได้ โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนระหว่างรอแต่งตั้งรัฐมนตรีแทน เรียกได้ว่าทุกอย่างมีทางออกทั้งหมด แต่ที่ไม่เลือกจะแสดงสปิริตเป็นเพราะอะไรคงไม่ต้องสาธยายให้เมื่อยตุ้ม
คงไม่มีอะไรซับซ้อนสำหรับพรรคของเผด็จการคสช. อีกไม่กี่วันหลังจากนี้ 4 รัฐมนตรีจะประกาศลาออก จากนั้นจะตามมาด้วยการประกาศรายชื่อบุคคลที่จะเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นพลเอกประยุทธ์ ที่เหลือเป็นเรื่องของพิธีกรรมคือประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ลงมติแล้วไปส่งเทียบเชิญและรอการตอบรับจากหัวหน้าขบวนการสืบทอดอำนาจ
ทุกอย่างมันถูกปูทางเป็นขั้นเป็นตอนไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งการแถลงข่าวหลังการประชุมครม.ของบิ๊กตู่เมื่อวันอังคารก็พูดชัด พรรคที่จะมาเชิญต้องเป็นพรรคที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ขู่ฟ่อด ๆ ว่าจะแก้ไขหรือล้มสิ่งที่รัฐบาลเผด็จการได้ทำไว้ทั้งหมด ต้องเป็นพรรคที่พร้อมสานงานต่อของรัฐบาลชุดนี้ กำหนดคุณสมบัติขนาดนี้อาจจะเรียกว่าเป็นการล็อกสเปกให้ตัวเองเลยก็ว่าได้(ฮา)
อีกด้านที่น่าสนใจ แม้จะประกาศปาว ๆ โดยเนติบริกรประจำรัฐบาลว่า คณะรัฐมนตรีชุดนี้มีอำนาจเต็ม จะทำอะไรก็ได้ แต่เชื่อว่าเพื่อลดข้อครหาและเลี่ยงที่จะถูกมองอย่างหมั่นไส้ว่าเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น ๆ รัฐบาลเผด็จการคงต้องลดละเลิกบางเรื่องบางประการอยู่เหมือนกัน เช่นการประชุมครม.สัญจร รวมไปถึงรายการทุกคืนวันศุกร์ที่หากเป็นรัฐบาลปกติต้องเลิกจัดไปแล้ว แต่สำหรับผู้นำเผด็จการหน้าทน คงต้องปรับรูปแบบ
แต่จะเป็นการปรับเพื่อไม่ให้มีเนื้อหาที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่เสนอชื่อตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกฯหรือจะมีการลักไก่หาเสียงให้กับตัวเองและพวกพ้องคงต้องติดตาม ซึ่งอย่างหลังคงไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้าทำต้องยอมรับในหัวจิตหัวใจของความเป็นเผด็จการเต็มขั้น ที่ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ขอให้ตัวเองสมประโยชน์เป็นพอ
ส่วนพรรคการเมืองอื่นโดยเฉพาะพรรคการเมืองเก่า คงต้องเร่งไปถามความชัดเจนจากกกต. เงื่อนไข 4 ข้อที่จะต้องทำตามกฎหมายใหม่เพื่อให้ส่งผู้สมัครส.ส.ได้นั้น ทำครบหมดแล้วหรือยัง มิเช่นนั้น จะตกม้าตายเอาง่าย ๆ แปลกใจอยู่เหมือนกันอยู่มาตั้งนานดันไม่แจ้งเตือน รองเลขาธิการกกต.เพิ่งมาบอกเอาไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกา
ถ้าเป็นพวกคิดมากก็ต้องมองกันว่า นี่น่าจะเป็นบทพิสูจน์หรือชี้ทิศทางให้เห็นแล้วว่า กระบวนการทำงานของกกต.ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เมื่อยังไม่ได้ลงมือทำคงจะไม่ยุติธรรมที่จะไปกล่าวหาเช่นนั้น เมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัวแล้ว ต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังจากที่เคยผิดหวังจากคณะกรรมการไม่อยากเลือกตั้งมาเมื่อปี 2557 หนนี้ 7 เสือกกต.จะกู้ศักดิ์ศรีขององค์กรอิสระแห่งนี้ให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนกลับคืนมาได้หรือไม่