Top 3 หุ้นค้าปลีก

จากการที่กระทรวงการคลังได้ขยายเวลาในการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการช้อปตรุษจีนช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 2562 โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 15 ก.พ. 2562 (เดิม 7-31 ม.ค. 2562) และสามารถเพิ่มเลขบัญชีธนาคารที่จะนำไปชำระเงินเพิ่มเติมได้สูงสุด 10 เลขบัญชี


เส้นทางนักลงทุน

จากการที่กระทรวงการคลังได้ขยายเวลาในการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการช้อปตรุษจีนช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 2562 โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 15 ก.พ. 2562 (เดิม 7-31 ม.ค. 2562) และสามารถเพิ่มเลขบัญชีธนาคารที่จะนำไปชำระเงินเพิ่มเติมได้สูงสุด 10 เลขบัญชี

การขยายระยะเวลาลงทะเบียนมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม คาดเป็นผลจากกระแสตอบรับผู้มาลงทะเบียนใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการน้อยกว่าที่รัฐคาด คือ มีผู้ร่วมโครงการ ณ วันที่ 30 ม.ค. 2562 อยู่ที่ราว 2 หมื่นคน จากเป้าหมาย 1 แสนคน แต่ด้วยผลประโยชน์ทางภาษีที่ไม่สูง (คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5%) จึงอาจจะเป็น Sentiment บวกเล็กน้อยต่อกลุ่มค้าปลีก

มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ อาทิ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% สำหรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2562 จะอยู่ที่ประมาณ 13,560 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.9 โดยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการทำบุญและท่องเที่ยวเป็นหลัก

ทั้งนี้ การใช้มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระตุ้นการใช้จ่าย อาจจะเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจค้าปลีกต่าง ๆ ในช่วงตรุษจีนไปจนถึงช่วงหลังเทศกาลตรุษจีนอีกประมาณ 10 วัน ตามระยะเวลาของการใช้สิทธิที่เริ่มตั้งแต่ช่วง 1-15 ก.พ. 2562 และมีน้ำหนักหลักจากอานิสงส์ความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งจะหนุนเม็ดเงินสะพัดช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งมากกว่า

ประเด็นดังกล่าวจะเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มค้าปลีก สิ่งสำคัญทางฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) กลุ่มค้าปลีกปี 2562 คาดเติบโตได้ 2.2% ดีขึ้นจากที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.3% ในปี 2561

ดังนั้นผลบวกดังกล่าวทำให้มองภาพรวมยังคงน้ำหนักลงทุนกลุ่มค้าปลีก ที่ยังมีพื้นฐานแข็งแกร่ง และยังมี Upside พร้อมกับรับอานิสงส์จากมาตรการช้อปตรุษจีน ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL

นอกเหนือจากช่วงดังกล่าวแล้วที่หุ้นจะได้รับประโยชน์ หลายฝ่ายยังมองผลการดำเนินงานอนาคตของทั้ง Top 3 บริษัทยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงปี 2562 นี้

สำหรับ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มีการประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 ไว้ที่ 7,333 ล้านบาท ปัจจัยหนุนจะมาจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อ การเปิดสาขาใหม่ และคาดบริษัทจะได้ประโยชน์จากมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ กอปรกับต้นทุนพลังงานและเศษแก้วที่อ่อนตัวลง กับอัตราการใช้กำลังการผลิตโรงแก้วแห่งใหม่ที่เปิดปลายปีก่อนได้มากขึ้น น่าจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นให้ดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงคาดจะรับรู้อัตราภาษีจ่ายระดับปกติที่ 19%-20% ได้เต็มปีในปี 2562

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเติบโตในระยะยาว โดยบริษัทได้เปิดเผยแผนการเติบโตในระยะถัดไป โดยเฉพาะการขยายธุรกิจในต่างประเทศ อาทิ ในช่วงไตรมาส 3/2562 มีแผนเปิด Big C Hypermarket สาขาแรกที่กัมพูชา และในส่วนของร้าน M-Point ในลาวที่ปัจจุบันมีอยู่ 43 สาขา (บริษัทเป็นผู้ให้แฟรนไชส์) จะทยอยเปลี่ยนชื่อเป็น Mini Big C และในเวียดนาม ปัจจุบันบริษัทแม่ (TCC Holding) มีธุรกิจค้าปลีกร้าน MM Market เป็น Hypermarket (เดิมชื่อ Metro) ปัจจุบันมี 19 สาขา และมีผลประกอบการพลิกเป็นกำไรแล้วระดับ 200 กว่าล้านบาทต่อปี

พร้อมกับในปี 2562 มีแผนทยอยเปิดสาขาใหม่ราว 7 สาขา และเชื่อว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า อาจจะมีการซื้อเข้ามาอยู่ภายใต้ BJC แต่ในระหว่างนี้ น่าจะอยู่ใน Stage ของการพัฒนาปรับปรุงและสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องของ MM Market ก่อน เพื่อท้ายที่สุดแล้วเมื่อมาอยู่ภายใต้ BJC จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นได้ทันที ดังนั้นจึงมองว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ การเพิ่มทุนยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 66 บาท

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO แม้การเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่มีแนวโน้มชะลอตัวในปี 2562 แต่คาดว่า HMPRO ยังคงมียอดขายเติบโตจากการที่กลุ่มลูกค้าของบริษัท 80% เป็นกลุ่มที่มีบ้านอยู่แล้ว ซึ่งมีการปรับปรุงซ่อมแซมต่อเนื่อง (ขณะที่ลูกค้าบ้านใหม่มีสัดส่วน 20%) ประกอบกับ HMPRO ยังอาจได้อานิสงส์จากความต้องการสินค้าซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในภาคใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุปาบึก นอกจากนั้น คาดว่า HMPRO ยังมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฮมโปรเอส ซึ่งได้รับการตอบรับดีและยังมีช่องว่างในการเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 17.20 บาท

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL มีปัจจัยบวกต่อเนื่อง จากแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นการเพิ่มสินค้าขายที่หลากหลายและมีมาร์จิ้นสูง อย่างสินค้าพร้อมทาน การเริ่มขายอาหารสดในบางสาขาเพื่อทดสอบตลาด การเพิ่มสาขาที่ขาย All cafe ต่อเนื่อง หลังได้รับการตอบรับดี รวมถึงการให้บริการรูปแบบใหม่ ทั้งการเป็น Banking Agent, การให้บริการส่งพัสดุภายใต้ชื่อ “สปีด-ดี” รับส่งสินค้าด่วน 24 ชม., การให้บริการคืนภาษีให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยจุดเด่นการมีสาขาครอบคลุมกว่า 1 หมื่นสาขาทั่วประเทศ และคงเป้าเปิดสาขาใหม่ 700 สาขา/ปี ทำให้มองว่า SSSG จะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของราคาเนื้อหมูและไก่และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของ MAKRO ย่อมเป็นบวกทั้งยอดขายและมาร์จิ้น ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของ CPALL ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ประกอบกับการบริโภคที่ฟื้นตัวจะหนุนการเติบโตของกำไรสำหรับธุรกิจภายในประเทศ ในขณะที่การขยายสาขาและอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากสินค้าใหม่ ๆ และการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ยังเป็นปัจจัยหนุนการเติบโต มองสถานะเป็นผู้นำในตลาดธุรกิจร้านสะดวกซื้อ

ขณะเดียวกันทางนักวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 88 บาท

สรุปได้ว่าทั้ง 3 บริษัทจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐอย่างการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% ช่วงเทศกาลตรุษจีนและในอนาคต!!!

Back to top button