พาราสาวะถี

วันนี้พรรคการเมืองน้อยใหญ่เก่าใหม่จะแห่แหนกันไปยื่นใบสมัครส.ส.ทั้งระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ณ จุดที่กกต.กำหนด ขณะที่บัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไหนที่ไม่มีกั๊ก เคาะกันแล้วก็น่าจะถือฤกษ์นี้ยื่นไปเสียทีเดียวพร้อม ๆ กัน การเปิดตัวช้าหรือเร็วไม่ใช่ปัญหาสำคัญ หากแต่อยู่ที่คนสำคัญที่ได้รับการเสนอชื่อนั้น ประชาชนขานรับและอยากจะเลือกมากน้อยขนาดไหน


อรชุน

วันนี้พรรคการเมืองน้อยใหญ่เก่าใหม่จะแห่แหนกันไปยื่นใบสมัครส.ส.ทั้งระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ณ จุดที่กกต.กำหนด ขณะที่บัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไหนที่ไม่มีกั๊ก เคาะกันแล้วก็น่าจะถือฤกษ์นี้ยื่นไปเสียทีเดียวพร้อม ๆ กัน การเปิดตัวช้าหรือเร็วไม่ใช่ปัญหาสำคัญ หากแต่อยู่ที่คนสำคัญที่ได้รับการเสนอชื่อนั้น ประชาชนขานรับและอยากจะเลือกมากน้อยขนาดไหน

พรรคใหญ่คู่แข่งสำคัญประชาธิปัตย์เคาะชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงหนึ่งเดียว ส่วนเพื่อไทยวางไว้ทั้ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โดยมี ชัยเกษม นิติสิริ มาเป็นอีกหนึ่งตัวแถม ส่วนพรรคคู่แข่งอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็วางไว้เพียงแค่หนึ่งเดียวหรือไม่ก็ไม่ส่งแคนดิเดตนายกฯ ที่ต้องจับตาคือพิธีกรรมของพลังประชารัฐ รอการตัดสินใจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะตอบตกลงเมื่อไหร่ เรื่องที่ใครหวังว่าจะมีเซย์โนนั้นเลิกคิดไปได้เลย

ไม่ต้องสาธยายอะไรกันมาก หากไม่ประสงค์จะสืบทอดอำนาจคงไม่มีใครจะแทงกั๊กแล้วให้ตัวเองต้องถูกด่ามาจนถึงทุกวันนี้ แต่นี่เล่นแง่ยอมเป็นคนเสียคำพูดเลื่อนเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น จึงไม่ต้องห่วงว่าพลังประชารัฐจะไม่มีแคนดิเดตนายกฯที่ชื่อประยุทธ์ เขารอแค่กระบวนการเพื่อไม่ให้น่าเกลียดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ เพราะคงไม่มีใครยอมรับกระบวนการตามแผนของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ทำกันอยู่ เพียงแต่เสียงวิจารณ์น้อยเหตุกลัวอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของผู้นำเผด็จการนั่นเอง

เห็นอาการหลุดอีกคำรบเมื่อวันศุกร์ ผู้นำเผด็จการอุตส่าห์แถลงผลงานรัฐบาลคสช. 4 ปี แทนที่จะจบแบบสวยงามตามสภาพ แต่กลับของขึ้นไม่พอใจคนที่เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งถึงกับใช้ถ้อยคำรุนแรง ทั้งขู่และท้าทาย “มึงลองมาไล่ดูสิ” สุดท้ายต้องรีบออกมาขอโทษขอโพย นี่ขนาดกำลังจะก้าวขาเข้าสู่สนามการเมือง ถ้าเข้าสู่สนามแบบเต็มตัวแล้วถ้าถูกอัดหนัก ๆ ไม่รู้ว่าจะทนได้ซักกี่น้ำ

เหมือนอย่างที่ สุรชาติ บำรุงสุข เตือนไว้ก่อนหน้ากระมัง หากจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ ต้องเตรียมยาไว้ 3 ขนาน แรงเสียดทานทางการเมืองเป็นเรื่องที่รู้และเข้าใจกันได้ ถ้าฟังเฉพาะพวกสอพลอ ขนาดหลุดคำหยาบคายไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงในฐานะผู้นำประเทศ ยังพากันเชลียร์อ้างสารพัดเหตุผลมาสร้างความชอบธรรมให้หัวหน้าเผด็จการ

พอจะเข้าใจได้ โดยเฉพาะอดีต 4 รัฐมนตรีที่เพิ่งเข้าทำเนียบรัฐบาลไปส่งเทียบเชิญผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ ต้องดูแลและเอาใจเป็นพิเศษ เดี๋ยวเกิดท่านไม่พอใจขึ้นมาแล้วปฏิเสธคำเชิญจะงานเข้ากันไปใหญ่ (ฮา) จะว่าไปก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องกันถึงขนาดนั้น ผิดชอบชั่วดีทุกอย่างคนที่ทำย่อมรู้อยู่แก่ใจ

ด้วยหลุดคำท้ามาเช่นนั้น จึงมีคนสนองตอบทันที  พริษฐ์ ชิวารักษ์หรือเพนกวิน นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ธนวัฒน์ วงค์ไชยหรือบอล อดีตประธานสภานิสิตจุฬาฯ พากันเดินทางไปยังทำเนียบฯ ในวันรุ่งขึ้น พร้อมประชาชนกลุ่มหนึ่งไปจัดกิจกรรมเชิญชวนพลเอกประยุทธ์ออกจากตำแหน่ง โดยมีการอ่านจดหมายเชิญออกจากตำแหน่งและมอบของที่ระลึกแก่พลเอกประยุทธ์

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ไม่มีทางที่จะรอดเงื้อมมือของตำรวจท้องที่ไปได้ ดังนั้น จึงถูกตำรวจสน.ดุสิตหิ้วตัวไปดำเนินคดี ด้วยข้อหาเป็นการแสดงกิจกรรมทางการเมืองถือว่ากระทำผิดกฎหมาย ขณะที่ทั้งสองคนยืนยันในสิทธิของประชาชนต้องแสดงความคิดเห็นต่อผู้นำประเทศ ต่อรัฐบาล ประชาชนมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นได้ กฎหมายอารยประเทศไม่ได้ห้ามการชุมนุมแบบนี้ มีแต่กฎหมายนี้เท่านั้นที่ทำได้

แน่นอนว่า ทั้งสองคนถูกดำเนินคดีข้อหาจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งทั้งคู่ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหา เพราะไม่ต้องการยอมรับกฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพทางการชุมนุมของประชาชน พร้อมยืนยันว่าการรวมกลุ่มชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธเป็นสิทธิของประชาชน มิควรจะต้องขอนุญาตใคร

ไม่เพียงเท่านั้น เพนกวินยังโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอยากให้การโดนดำเนินคดีของตนพร้อมเพื่อนเป็นหนึ่งในตัวอย่างชี้วัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าจะ “ฟรี” และ “แฟร์” ได้อย่างไร ขนาดแค่มาอ่านจดหมายเท่านี้ยังถูกจับได้ ยังคงยืนยันว่าพลเอกประยุทธ์จะต้องลดอำนาจรัฐบาลของตนเป็นรัฐบาลรักษาการ และยกเลิกอำนาจม.44 ไม่เช่นนั้นก็ขอให้ลาออกจากทั้งตำแหน่งนายกฯ และหัวหน้าคสช.

หากจะบอกว่าท่าทีของเพนกวินและเพื่อนคือพวกสุดโต่งที่อย่างไรก็ไม่เอาคสช. เช่นนั้น ผลสำรวจความเห็นของซูเปอร์โพลซึ่งโพลสำนักนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าทิศทางของผลสำรวจที่ผ่านมานั้นเป็นเช่นไร แต่การถามความเห็นประชาชนล่าสุด กลับมีประเด็นที่น่าสนใจ กับคำถามที่ต่อการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ ที่ว่า ควรรับเทียบเชิญของนักการเมืองหรือวางตัวเป็นกลาง ทำงานต่อ รอผลหลังเลือกตั้ง

จำแนกตามจุดยืนการเมืองของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่ในทุกกลุ่มจุดยืนการเมืองได้แก่ กลุ่มพลังเงียบร้อยละ 86.3 กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาลและคสช.ร้อยละ 81.8 และกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลและคสช.ร้อยละ 74.9 ระบุว่าพลเอกประยุทธ์ควรวางตัวเป็นกลาง ทำงานต่อ รอผลหลังเลือกตั้ง ที่สนับสนุนให้รับเทียบเชิญในกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลและคสช.มีเพียงร้อยละ 25.1 เท่านั้น

นั่นหมายความว่า คนส่วนใหญ่พอใจบทบาทของผู้นำเผด็จการในฐานะกรรมการ การเป็นคนกลางมากกว่าที่จะสืบทอดอำนาจ แต่ด้วยโจทย์ที่วางกันไว้แต่ต้นคือรัฐประหารรอบนี้ต้องไม่เสียของสูญเปล่า จึงมีการวางกลไกต่าง ๆ ไว้เพื่ออุ้มผู้นำเผด็จการกลับมานั่งเก้าอี้บริหารประเทศอีกกระทอก ประกอบกับความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองได้ทำมา จึงไม่มีทางที่จะปฏิเสธคำเชิญของพรรคสืบทอดอำนาจแน่นอน

ขณะที่ข้อเสนอของ อลงกรณ์ พลบุตร เรื่องให้พลเอกประยุทธ์ลดชั้นไปรับตำแหน่งประธานวุฒิสภา เหตุผลดีแต่ไม่น่าสนใจ เพราะศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องการลุกฮือของประชาชนจะด้วยเหตุใดก็ตามก่อนจะมีนายกฯ คนใหม่ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยี่หระอยู่แล้ว อย่าลืมว่าอำนาจตามมาตรา 44 นั้นจะอยู่ไปจนกว่าผู้นำคนใหม่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน เท่ากับว่าระหว่างนั้นผู้นำเผด็จการจะทำอะไรก็ได้

Back to top button