พาราสาวะถีอรชุน
กลายเป็นเรื่องตรงข้ามกับคำเตือนของเหล่าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้งหลายแหล่ที่ได้เข้าไปพบเจ้ากรมการทหารสื่อสาร พร้อมฝากความปรารถนาดีไปยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พูดให้น้อยลงเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาให้แก้ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ท่านผู้นำเดินทางกลับมาจากเมียนมาร์ แล้วเกาะโพเดียมแถลงข่าวก็ออกอาการฉุนเฉียว ด่ากราดนักข่าวไปหลายดอก
กลายเป็นเรื่องตรงข้ามกับคำเตือนของเหล่าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้งหลายแหล่ที่ได้เข้าไปพบเจ้ากรมการทหารสื่อสาร พร้อมฝากความปรารถนาดีไปยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พูดให้น้อยลงเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาให้แก้ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ท่านผู้นำเดินทางกลับมาจากเมียนมาร์ แล้วเกาะโพเดียมแถลงข่าวก็ออกอาการฉุนเฉียว ด่ากราดนักข่าวไปหลายดอก
นับตั้งแต่ไม่สำนึกบุญคุณ ไม่เกรงใจกันบ้างที่ไม่ได้สั่งปิดสื่อทั้งหมด กลับยังมานำเสนอแต่ข่าวที่โจมตีรัฐบาลและมุ่งไปที่ปมของความขัดแย้ง ไม่เพียงเท่านั้น ท่านผู้นำยังบอกด้วยว่า ข่าวที่นำเสนอกันนั้นเขียนตามใบสั่ง เข้าทำนองว่ารับเงินใครมานำเสนอข่าวด้านลบของรัฐบาลหรือไม่ จึงถูกนักข่าวย้อนถามว่า ทุกคนก็มีเงินเดือนเงินดาวน์กันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปรับเงินนอกระบบ
ปรากฏว่าท่านผู้นำสวนกลับด้วยเสียงอันดังว่า ไม่รู้ว่าจะได้มาอย่างไร ถ้างั้นก็คงรวยกันแล้ว ก็ให้เขียนแบบนี้ไป เดี๋ยวประเทศนี้มันเจ๊งลงไป คราวนี้ก็ไม่มีเงินเดือน ไม่มีเงินกันทั้งประเทศก็ตามใจ กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน หากผู้มีอำนาจมองอยู่แค่นี้โอกาสที่จะปฏิรูปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคงอยาก เพราะใจยังไม่กว้างพอที่จะเปิดรับฟังความเห็นหรือข้อเสนอของทุกฝ่าย
ประเภทว่า ข้ารู้ทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องมาสอนมาสั่ง ใช้ได้ก็เฉพาะปฏิบัติการทางทหารที่ต้องใช้ความเด็ดขาดเท่านั้น หากแต่การบริหารประเทศมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น บางเรื่องต้องใช้การสั่งการที่เฉียบขาด แต่บางเรื่องมันต้องเปิดรับฟังข้อเสนอแนะของฝ่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดแนวคิดนำไปสู่แนวทางที่เกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะเป้าหมายคือความเจริญของประเทศ
ท่วงทำนองเช่นนี้ หลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีว่า ครั้งหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ชอบที่จะฟังใครเหมือนกัน จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่หายนะทั้งต่อตนเองและเครือข่าย แม้กระทั่งล่าสุดก่อนการล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็หนีไม่พ้นความเหิมเกริมต่ออำนาจเสียงข้างมากที่ตัวเองมีอยู่ จึงดันทุรังเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย
จังหวะก้าวเช่นนี้บิ๊กตู่น่าจะศึกษา การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้จัดการทุกเรื่องได้เสมอไป ยิ่งหากเป็นการดำเนินการอันไปกระทบกับสิทธิ เสรีภาพของประชาชนด้วยแล้ว ยิ่งเป็นสิ่งอ่อนไหวที่จะต้องระมัดระวัง คงต้องรอดูปฏิกิริยาจากบรรดาสมาคมวิชาชีพสื่อว่าจะแสดงออกอย่างไรต่อการถูกกดดันเช่นนี้ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่
ความจริงแล้วการไปหงุดหงิดกับสื่อในประเด็นความกังวลว่า กระบวนการปฏิรูปประเทศจะเสียของนั้น คงต้องฝากให้บิ๊กตู่ลองมองย้อนกลับไปนับตั้งแต่การรัฐประหารมาจนถึงวันนี้ เป็นอย่างที่เขาว่าหรือไม่ ทั้งแนวทางการปฏิรูปรวมไปถึงการยกร่างรัฐธรรมนูญ แตะตรงไหนก็มีแต่ปัญหาหรือว่าจะเถียง มิเช่นนั้น รัฐบาลคงไม่เสนอขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญไปกว่า 100 ประเด็น
ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากลิ่วล้อที่คลอดมาจากปลายกระบอกปืนทั้งสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาหงุดหงิดกับสื่อเพียงอย่างเดียว องคาพยพแม่น้ำ 5 สายภายใต้การบังคับบัญชาขององค์รัฏฐาธิปัตย์ต่างหากที่น่าจะต้องตักเตือน ดุด่ามากกว่า คงไม่ต้องบอกว่าใครบ้างที่เป็นตัวสร้างปัญหา เว้นเสียแต่ว่าจะมีการจงใจให้คนคนนั้นแสดงบทบาทยั่วยุเพื่อหวังผลอย่างหนึ่งอย่างใด
ข้อกังวลของบิ๊กตู่ที่บอกว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะปฏิวัติหรือปฏิรูปกี่หนคงไม่ไปถึงไหน ต้องไปฟังคำพูดของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่วิดีโอคอลคุยกับ 7 นักศึกษากลุ่มดาวดินที่จังหวัดเลยเมื่อวันก่อนที่บอกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะสิ้นสุดอย่างไร ถ้าสิ้นสุดแบบประนีประนอมกัน การรัฐประหารก็อาจจะเกิดขึ้นอีก
แต่ถ้ามันเป็นการสิ้นสุดแบบชนิดที่ฝ่ายที่ทำรัฐประหาร ไม่สามารถที่จะรักษาอำนาจไว้อีกเลย เราจะสามารถแก้ไขบ้านเมืองเราให้ปลอดพ้นจากการรัฐประหารได้ คิดว่าไม่ควรจะมีการประนีประนอมชนิดที่หยวนๆ กันไป ใครทำผิดก็หยวนๆ กันไป คิดว่าอย่างนี้ไม่ได้ มันก็จะเกิดการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีที่สิ้นสุด
วลีทองของอาจารย์นิธิที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ ผมคิดว่าพวกเขาได้ช่วยตัวเขาในการทำให้ตัวเขาเปื่อยขึ้น เปื่อยขึ้นทุกวัน คนจำนวนมากที่สนับสนุนรัฐประหารยังมีโอกาสที่จะมองเห็นข้อไม่ดีของการรัฐประหารมากขึ้นทุกวัน เราต้องแสวงหามิตรให้มากกว่าศัตรู วันนี้คนที่ชูมือหนุนรัฐประหารโดยเฉพาะในภาคธุรกิจน่าจะเข้าใจข้อไม่ดีดังว่าได้เป็นอย่างดี
ครบรอบ 83 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันวาน บรรยากาศปีนี้ค่อนข้างที่จะเงียบเหงาในแง่ของการจัดกิจกรรม แต่ที่คึกคักคงเป็นบริเวณทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากได้มีการอัญเชิญธงชาติผืนใหม่ขึ้นสู่ยอดเสาซึ่งจัดทำกันขึ้นใหม่มีความสูง 25 เมตร จนมีการตั้งข้อสังเกตเหตุที่รัฐบาลเลือกฤกษ์ในวันที่ 24 มิถุนายนมีอะไรแอบแฝงหรือไม่
บ้างก็ว่าฤกษ์ดังกล่าวเป็นฤกษ์ยามมังกร ซึ่งดีกับดวงของบิ๊กตู่ที่จะทำให้เกิดความมั่นคง พอถูกถามเรื่องนี้ท่านผู้นำเลยถือโอกาสตอกหน้านักข่าวอีกดอก “ไม่รู้ฉันไม่ได้กำหนด ดวงฉันอยู่กับพวกเธอ ที่พวกเธอจะว่า หรือจะชมฉัน” อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าดวงแล้ว มันคือกรรมที่หมายถึงการกระทำต่างหาก ทำความดีย่อมได้รับคำชม คงไม่มีใครโดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่าสื่อจะไปด่าใครคนหนึ่งคนใดโดยไร้เหตุผล
ปัญหาภัยแล้งปีนี้หนักหน่วงรุนแรงจริงๆ ถึงขนาดที่ครม.เศรษฐกิจต้องถกเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ก็ได้รับการยืนยันว่า จะมีน้ำใช้ไปจนถึงเดือนเมษายนปีหน้า โดยหวังว่านับจากนี้ไปจะมีฝนห่าใหญ่ซักห่าสองห่าตกลงมาเติมในเขื่อนต่างๆ คนใช้น้ำอาจจะวิตกเกรงว่าจะไม่มีน้ำอุปโภคบริโภค แต่ที่บักโกรกยิ่งกว่าชาวนาที่ตั้งตารอ ถึงขั้นที่รัฐบาลประกาศให้เลื่อนการทำนาปีออกไปจนถึงเดือนสิงหาคม เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ ความเดือดร้อนในลักษณะนี้นี่แหละที่เป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับรัฐบาล