พาราสาวะถี

ทยอยส่งรายชื่อผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์กันแล้ว สำหรับพรรคการเมืองใหญ่ โดยทั้งเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ ได้ไปยื่นรายชื่อกับกกต.เมื่อวันวาน พรรคนายใหญ่ส่งชิงชัย 97 คน ส่วนพรรคที่ถูกมองว่าเป็นเครือข่ายเดียวกันอย่างทษช.ส่ง 108 รายชื่อ ขณะที่บัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้นพรรคหลังยังไม่ส่ง ส่วนเพื่อไทยส่งให้กกต.พิจารณาเรียบร้อย


อรชุน

ทยอยส่งรายชื่อผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์กันแล้ว สำหรับพรรคการเมืองใหญ่ โดยทั้งเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ ได้ไปยื่นรายชื่อกับกกต.เมื่อวันวาน พรรคนายใหญ่ส่งชิงชัย 97 คน ส่วนพรรคที่ถูกมองว่าเป็นเครือข่ายเดียวกันอย่างทษช.ส่ง 108 รายชื่อ ขณะที่บัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้นพรรคหลังยังไม่ส่ง ส่วนเพื่อไทยส่งให้กกต.พิจารณาเรียบร้อย

ไม่มีอะไรพลิกโผ 3 รายชื่อประกอบไปด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ ชัยเกษม นิติสิริ แต่ที่น่าแปลกใจคือรายของอดีตรัฐมนตรีผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีนั้น ไม่มีชื่อร่วมเป็นผู้สมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคแต่อย่างใด มีคำชี้แจงจาก ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคว่า ชัชชาติเสนอให้ทำงานด้านบริหารและด้านต่าง ๆ ไม่ได้ทำงานด้านนิติบัญญัติ

ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ หากเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล หมายความว่าชัชชาติจะมีสถานะเป็นเพียงแกนนำพรรคเท่านั้น แต่การวางหมากเกมของนายใหญ่นั้นอย่าคิดกันแค่ชั้นเดียว หนนี้ด้วยเป็นสูตรหวยล็อกพรรคร่วมรัฐบาลถูกกำหนดไว้แล้ว เช่นเดียวกับตัวผู้นำประเทศ แต่อุบัติเหตุการเมืองหลังเลือกตั้งพร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับรัฐบาลผสมที่เต็มไปด้วยพลังต่อรอง

นั่นหมายความ พรรคเพื่อไทยมองไปถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งหากได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เชื่อกันว่าคงจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะแรงเสียดทานต่าง ๆ จะมากกว่าตอนเป็นรัฐบาลเผด็จการหลายเท่าตัว ด้วยเหตุนี้การเลือกให้ชัชชาติไม่ไปเปลืองตัวกับงานในฝ่ายนิติบัญญัติ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ก็มีโอกาสที่จะกลับมาผงาดขึ้นเป็นผู้นำประเทศแบบสดใสได้ในอนาคตอันใกล้

แต่มาถึงตรงนี้ที่ว่าแน่ ๆ แบบแบเบอร์ ทำไปทำมากลายเป็นว่าพรรคพลังประชารัฐที่รอการตอบรับคำเชิญเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของผู้นำเผด็จการ ซึ่งคงไม่มีอะไรต้องให้ลุ้นบิ๊กตู่คงไม่กลับหลังหันกลางอากาศ ปัญหาที่เกิดกับเป็นเรื่องการจัดการตัวผู้สมัครของพรรคสืบทอดอำนาจ หลังพิจารณาจากรายชื่อผู้สมัครส.ส.ในแบบแบ่งเขตแล้ว พบว่าพวกบิ๊กเนมที่ดูดมากันก่อนหน้าหายตัวเกือบหมด

ไม่ได้เปลี่ยนใจหันหลังกลับ แต่ขอขยับตัวเองไปลงสมัครส.ส.แบบปาร์ตี้ลิสต์แทน คงกลัวเป็นส.ส.สอบตก จึงส่งลูกหลานคนในตระกูลหรือเด็กในคาถาไปลุยแทน ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะส่งผลต่อคะแนนเสียงที่พึงจะได้กี่มากน้อย ส่วนบรรดาขาใหญ่ทำให้ 4 รัฐมนตรีพร้อมกุนซือผู้อยู่เบื้องหลังพากันกุมขมับเป็นแถว เพราะไม่รู้จะจัดเรียงลำดับกันอย่างไร

แน่นอนว่า ด้วยความที่เป็นบิ๊กเนมย่อมที่จะขออยู่ในอันดับที่มั่นใจว่าต้องได้เก้าอี้แน่ ๆ แต่เมื่อนำมาเรียงดูรายตัว ลำพังคนในเครือข่ายของเผด็จการพ่วงเข้ากับแกนนำของกลุ่มที่เป็นตัวเดินเกมก็แทบจะเดินอันดับท็อปทเวนตี้หรือ 20 คนแรกกันไปแล้ว ถ้าหลุดไปจากนี้ไม่มีใครกล้าการันตีว่าจะได้เป็นส.ส.หรือไม่ และยิ่งในระดับพื้นที่มีแต่พวกโนเนมหรือชั้นไม่ถึงจึงต้องเหนื่อยเป็นสองเท่า

จึงไม่รู้ว่าการดึงจังหวะของผู้นำเผด็จการเป็นเพราะต้องการประเมินสถานการณ์ตรงนี้ด้วยหรือไม่ จากที่คาดหวังเก้าอี้กันไม่น้อยกว่า 150 ที่นั่ง ทำไปทำมาจะกลายเป็นพรรคต่ำร้อยไปเสียฉิบ เว้นเสียแต่ว่าจะมียาดีในช่วงโค้งสุดท้ายหรือมีเหตุอะไรให้พลิกผันต่อผลคะแนนนั่นก็เป็นอีกเรื่อง แต่ถ้าพิจารณาจากหน้าเสื่อทางการข่าวที่เล็ดลอดออกมาเวลานี้ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้บริหารพรรคอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

ขณะที่ทางด้านเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ ถูกจับตามองเป็นพิเศษถึงการฮั้วกรณีส่งผู้สมัครส.ส.กทม.กันแบบไม่ต้องตีความ พรรคใหญ่จัดไป 22 เขต ส่วนพรรคย่อยส่งสมัคร 8 เขต ในมิติทางกฎหมายคงจะไปเอาผิดอะไรไม่ได้ แต่ในทางการเมืองถือว่าเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้พรรคคู่แข่งนำไปโจมตีได้ในระหว่างหาเสียง อย่างไรก็ตาม การเลือกเสี่ยงแบบเน้น ๆ เช่นนี้ ระดับนำของสองพรรคหวังว่าน่าจะทำให้คนเมืองหลวงหันมาพิจารณาในแง่ตัวบุคคลกันมากขึ้น

ที่ผ่านมาอาจจะเห็นว่าคนเมืองกรุงเล่นกับกระแสข่าวและตัดสินใจสวนทางกับคนต่างจังหวัด แต่เที่ยวนี้หลังจากที่มีรัฐบาลเผด็จการนานเกือบ 5 ปี ปัญหาชีวิตที่เผชิญโดยเฉพาะเรื่องการทำมาค้าขาย การเพิ่มเงินในกระเป๋าถ้าไม่ใช่ระดับเจ้าสัว คงสัมผัสกันได้ว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดว่าคนเมืองหลวงยังภูมิใจกับการเป็นผู้ที่ล้มรัฐบาลจากการเลือกของคนต่างจังหวัด หรือรู้เช่นเห็นชาติแล้วว่าต้องมีรัฐบาลแบบไหนที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่เดือดร้อน

กระนั้นก็ตาม เวลาทางการเมืองถือเป็นสิ่งที่นักการเมืองทุกคนเกรงกลัวกันเป็นพิเศษ เพราะทุกวินาทีหรือทุกวันที่ผ่านไปนั้น สามารถที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือการเกิดเรื่องราวที่อาจทำให้คนบางคนชะตาพลิกผันไปได้ในพริบตา เพียงแต่ว่าการใช้ปฏิบัติการข่าวสารประเภทไปตะโกนในโรงหนังหรือสร้างกระแสข่าวลือในช่วงคืนหมาหอน มันใช้ไม่ได้ผลอีกแล้วในยุคโซเชียลมีเดีย

ไม่เพียงเท่านั้น จะเห็นได้ว่ามีกลยุทธ์การเลือกตั้งแบบแปลก ๆ ผุดขึ้นมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เหมือนอย่างกรณีพรรคทษช.ที่แม้แต่ผู้นำเผด็จการก็อดที่จะค่อนขอดไม่ได้ว่าตัวย่อของพรรคนี้ต่างรู้กันดีว่าเป็นการสื่อและหมายถึงอะไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ล่าสุด ยุทธวิธีการเปลี่ยนชื่อของผู้สมัครเป็น “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ทั้งภาคเหนือและอีสานหรือเป็นการพลิกเกมที่ทำเอาผู้คุ้มกฎต่างออกอาการอึ้งกิมกี่ไปตาม ๆ กัน เพราะไม่รู้จะไปพลิกตำรากฎหมายใดมาเอาผิด

แม้กระทั่ง วิษณุ เครืองาม เนติบริกรของเผด็จการยังต้องออกลูกประชด ถ้าคิดว่าเปลี่ยนแล้วดีก็เปลี่ยนไป จะเอาทุกทางทุกเทคนิคก็ไม่เป็นไร ก่อนที่จะโยนไปให้กกต.เป็นผู้พิจารณา ปุจฉาที่เกิดขึ้นสำหรับองค์กรอิสระที่กำกับดูแลการเลือกตั้งคือ มีกฎหรือระเบียบใดที่ห้ามคนเปลี่ยนชื่อเหมือนกับอดีตนายกฯ ทั้งสองคนลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ หรือจะใช้วิธีศรีธนญชัยไปเล่นงาน นั่นยิ่งจะส่งผลด้านลบต่อองค์กรมากกว่า งานนี้ดีที่สุดคือเฉยและเย็นไว้โยม คิดเสียว่ามันเป็นกฎแห่งกรรม เมื่อหัวหมอมาเจอหัวหมอกว่าก็ต้องยอม

Back to top button