‘อินทัช’ไม่ใช่‘ชินคอร์ป’

ทักษิณพร้อมตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ได้ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ หรือกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. 2549 แล้ว


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ทักษิณพร้อมตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ได้ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ หรือกองทุนเพื่อการลงทนของรัฐบาลสิงคโปร์ ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. 2549 แล้ว

จำนวน 1,487,740,000 หุ้น (49.595% ของทุนจดทะเบียน) มูลค่าหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 73,271,200,910 บาท

แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ใช่น้อย ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจว่า ทักษิณจะขายขาดหุ้น SHIN ไปแล้ว

ยามมีข่าวจากทักษิณและพรรคการเมืองภายใต้อิทธิพลของเขาไม่ว่าดีว่าร้าย ก็จะมีผลล้อกันไปกับ “หุ้นกลุ่มชิน” ในอดีต หรือ “อินทัช” ในปัจจุบันตาม ๆ กันไปด้วย

อาทิเช่น เมื่อวันศุกร์ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” 8 ก.พ.ที่ผ่านมา หุ้น INTUCH ADVANC THCOM ต่างก็ขึ้นเริงร่ากันถ้วนหน้า ซึ่งก็แน่นอนหุ้นที่เป็น “สมบัติชิน” กลุ่มลูกแท้อย่างเช่น SC ASSET และโรงพยาบาลพระราม 9 ก็เริงร่าตาม ๆ กันไปด้วย

แต่พอวันจันทร์-อังคารถัดมา ซึ่งสถานการณ์พลิก !  ฝ่ายทักษิณและพรรคการเมืองใต้อิทธิพลเพลี่ยงพล้ำ ทั้งหุ้นลูกแท้-ลูกเทียม ก็ร่วงระเนนระนาดไม่เป็นท่า เพิ่งจะมาตั้งหลักได้เอาในวันพุธ หักกลบแล้วราคาหุ้นก็ยังลงไปมากกว่าขึ้น

ไม่น่าเชื่อ !  ผ่านมา 13 ปีแล้ว ความเชื่อว่าหุ้น 3 ตัว คือ อินทัช แอดวานซ์ ไทยคม ก็ยังเป็น “หุ้นการเมือง” หรือหุ้นที่ทักษิณยังเหลือสัดส่วนถือครองอยู่ จึงแทนที่จะโลดเต้นไปตามปัจจัยพื้นฐาน กลับโลดเต้นไปตามผลได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองของพรรคทักษิณไปเสียทุกครั้ง

อย่าว่าแต่ความเชื่อเช่นนี้ในตลาดหุ้นเลย แม้แต่วงการบริหารราชการแผ่นดินก็ยังเชื่อว่า ทักษิณยังมีหุ้นถืออยู่ในอินทัชเลย จึงเกิดรายการตามราวีกันอย่างไม่หยุดยั้ง อาทิเช่นสมัย “บิ๊กบัง” ก็พยายามจะเรียกร้องเอาดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของรัฐ แต่พอมาเจอหนี้สินและโจทย์หินเรื่องการหาลูกค้าต่างประเทศของไทยคมก็ถึงกับผงะออกไปอย่างเงียบ ๆ

มาในยุค “บิ๊กตู่” ช่วงนี้ก็ยังมีความพยายามจะเอาดาวเทียมไทยคม 7 และ 8 ซึ่งดำเนินกิจการภายใต้ระบบ “ใบอนุญาต” ไปแล้ว ให้กลับเข้ามาอยู่ในระบบ “สัมปทาน” แบบเก่า นอกจากนั้น ดาวเทียมดวง 4, 5 และ 6 ที่จะหมดอายุในปี 2546 ก็ยังไม่มีการตัดสินใจเตรียมยิงดาวเทียมดวงใหม่ เพราะความไม่แน่ใจในความเป็น “หุ้นการเมือง” นั่นเอง

ผมบอกได้เลยว่า นี่คือการหวาดผวา “ผีทักษิณ” โดยไม่คำนึงไตร่ตรองถึงคำถามเบสิกง่าย ๆ เลยว่า  “เทมาเส็ก” อันเป็นฟันเฟืองลงทุนแห่งชาติสิงคโปร์ มีหรือจะยอมตนเป็น “นอมินี” ให้กับทักษิณ

นอกจากนั้น ลองตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกของหุ้น 2 ตัว คือ อินทัช ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคัมปานี  และ ADVANC ดู ก็ไม่ปรากฏจะมีชื่อทักษิณหรือเงาของทักษิณให้เห็นแต่ประการใด

5 ผู้ถือหุ้นอันดับแรกของ INTUCH ได้แก่ สิงเทล โกลบอล อินเวสต์เมนต์ 21%, ฮ่องกง&เซี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง 15.90%, ไทยเอ็นวีดีอาร์ 11.88%, เซาท์อีสต์ เอเซีย ยูเค (ไทป์ซี) 4.29% และแอสเพน โฮลดิ้งส์ 3.19%

5 ผู้ถือหุ้นอันดับแรกของ ADVANC ได้แก่ อินทัช โฮลดิ้งส์ 40.45%, สิงเทล สแตรติจิก อินเวสต์เมนต์ 23.32%, ไทยเอ็นวีดีอาร์ 5.80%, เซาท์อีสต์เอเซีย ยูเค (ไทป์ซี) 4.16% และ 5.สำนักงานประกันสังคม 2.74%

ช่างเหมือนกับความเชื่อเรื่องปตท.เป็นของทักษิณยังไงยังงั้นเลย ทั้งที่กระทรวงการคลังถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมกว่า 64%

สังคมไทยทุกวันนี้ กลายเป็นสังคมที่ “มายาคติ” สามารถเข้าครอบงำได้โดยง่าย เพียงอาศัยความเชื่อเป็นตัวตัดสินชี้ขาดในทุกเรื่องเท่านั้นแหละ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงมาพิสูจน์แต่ประการใด

ความเชื่อว่าหุ้นกลุ่มอินทัชยังเป็นของทักษิณนั้น ได้ทำลายหลักการพื้นฐานการลงทุนของหุ้นในตลาดอย่างมากมาย และนักลงทุนก็เสียโอกาสจากการเข้าถือครองหุ้นพื้นฐานดีและมีปันผลดีตอบแทน เช่นหุ้น ADVANC เป็นหุ้นที่มีปันผลประมาณ 4% อินทัชประมาณ 5% และ THCOM บางช่วงให้ปันผลสูงปรี๊ดถึง 17%

การบ้านข้อนี้ ฝากไปยังผู้บริหารอินทัช ต้องเร่งรีแบรนด์ภาพลักษณ์ให้ชัดเจนเป็นการใหญ่แล้วล่ะ

 

Back to top button