1,700 จุด รออยู่ข้างหน้า

ข่าวดีล่าสุดจากนิวยอร์ก เปิดทางให้กับขาขึ้นระลอกใหม่ของตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง ดัชนีหุ้นไทย SET ดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จนรอทะลุแนวต้าน 1,700 จุดอีกครั้ง หลังจากเคยหลุดลงไปยืนในระดับ 1,590 จุดเมื่อต้นปี


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

ข่าวดีล่าสุดจากนิวยอร์ก เปิดทางให้กับขาขึ้นระลอกใหม่ของตลาดหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง ดัชนีหุ้นไทย SET ดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จนรอทะลุแนวต้าน 1,700 จุดอีกครั้ง หลังจากเคยหลุดลงไปยืนในระดับ 1,590 จุดเมื่อต้นปี

ที่สำคัญ ต่างชาติกลับมาซื้อระลอกใหม่ ล่าสุดยอดซื้อสะสมสุทธิของต่างชาติ ใกล้ 1 หมื่นล้านบาทแล้ว

การที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกแรงทะลุ 26,000 จุดเมื่อวันศุกร์ เกิดจากท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ขอสงบศึกการค้าจีน ทอดไมตรีขอเจรจาสี จิ้นผิง ผู้นำจีน หวังเคลียร์ผลประโยชน์ โดยเปิดเผยว่าอาจเลื่อนกำหนดเส้นตายเก็บภาษีจีนออกไป 1 เดือน หรือมากกว่านั้น โดยขอหารือตัวต่อตัว กับ สี ในปลายเดือนมีนาคมที่รีสอร์ตในฟลอริดา บ่งชี้ว่าอาจปิดฉากสงครามการค้าของสองชาติยักษ์ใหญ่เศรษฐกิจโลก

ที่ผ่านมา การเจรจาที่ผู้นำทั้ง 2 ไม่เดินทางมาพบปะกันเอง ถือเป็นการสงวนท่าทีในเชิงการเมือง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า การบรรลุข้อตกลงครั้งใหญ่ต้องให้ผู้นำทั้ง 2 เดินทางมาพบปะ และแถลงรายละเอียดพร้อมกัน โดยไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบและเสียหน้า

3 ครั้งของการเจรจาที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐฯ และจีน เลือกที่จะส่งผู้นำแถวสอง ทำให้ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ มานานกว่า 90 วัน การที่ทั้ง 2 เตรียมพบปะกันที่ บ้านพักส่วนตัวของ ทรัมป์ เพราะถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยมีการแถลงอย่างเป็นทางการถึง 6 ประเด็นที่สหรัฐฯ ร้องขอจีน เช่น 1) การบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี 2) สิทธิทางปัญญา 3) หยุดแทรกแทรงค่าเงินหยวน และอื่น ๆ

การที่นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นต่อการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน ทำให้ราคาหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ขานรับข่าวเจรจาการค้า

ในตลาดหุ้นไทย การที่นักลงทุนต่างชาติ ทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้น โดยเริ่มช้อนเก็บต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีหุ้นพุ่งทะยานขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิมากถึง 2.3 แสนล้านบาท

ปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายหุ้นออกมาเยอะมาก คิดเป็นจำนวนเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยขายเพราะความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และตามด้วยความหวั่นไหวในผลกระทบสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในขณะที่ปีนี้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ตลาดหุ้นอาจซึมซับหมดแล้ว แต่ผลกระทบจากสงครามการค้า ยังมีอิทธิพลชี้นำทิศทางตลาดหุ้น และมีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนของต่างชาติอยู่ ปัจจัยเชิงบวกเรื่องสงครามการค้า จึงเป็นโอกาสการลงทุน และเห็นกันแล้วว่า ถ้าต่างชาติกลับมาซื้อ ตลาดหุ้นคึกคักเพียงใด

แม้ปีที่ผ่านมา แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มทยอยประกาศ โดยหุ้นธนาคารเป็นกลุ่มนำร่อง และกำไรโดยรวมเติบโตไม่สวยงามมากนัก แต่อดีตก็พร้อมจะถูกลืม หากอนาคตดูดีกว่า

ที่ผ่านมา ราคาหุ้นที่ลงมาลึกและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ทำให้สามารถดึงกลับสู่ความสนใจของต่างชาติอีกครั้ง ยังไม่นับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน ในขณะที่ฐานที่มั่นของกองทัพยังไม่ถูกสั่นคลอน

ช่วงนี้แนวโน้มค่าบาทแข็ง เท่ากับฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามายังตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งตลาดหุ้น บอกเจตนาชัดเจนว่าเลือกเข้ามาเพราะอาจจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าต่างประเทศอื่น ๆ

โดยภาพรวม คำอธิบายของนักวิเคราะห์ที่ว่าตลาดหุ้นจะ “เดินหน้าขาขึ้น” หรือ “ทรงตัว-ติดลบ” ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ ถือว่าความสำคัญของฟันด์โฟลว์ที่มีต่อตลาดหุ้นไทยไม่สามารถมองข้ามไปได้ เพราะหากตราบใดที่ยังไม่มีแรงขับเคลื่อนจากเงินลงทุนต่างชาติ การที่จะให้หุ้นทะยานแรงจึงค่อนข้างยาก

ก่อนปี 2557 ยอดสะสมซื้อสุทธิของฟันด์โฟลว์ในตลาดหุ้นไทยเคยสูงเกือบ 4.7 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดยอดสะสมของต่างชาติอยู่ที่ระดับ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แม้นักวิเคราะห์หลายสำนักจะมีมุมมองว่ายอดตัวเลขฟันด์โฟลว์ที่ต่ำ สามารถเปิดช่องให้ต่างชาติถอยตัวออกไปได้น้อยลง และเข้ามาได้มากขึ้น แต่คำถามก็คือ การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นแค่ “มะนาวหวาน องุ่นเปรี้ยว” ทางจิตวิทยาเท่านั้นหรือไม่

ในทางทฤษฎี ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจสำหรับฟันด์โฟลว์หรือไม่ ขึ้นกับเงื่อนไขของตัวเลข Market Earning Yield Gap [เกิดจากการนำ Market Earning Yield (กำไรต่อหุ้นเฉลี่ยของตลาดรวม หารด้วยดัชนีหุ้นไทย) ลบด้วยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 1 ปี ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการถือหุ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการย้ายเงินลงทุนจากตลาดพันธบัตรไปตลาดหุ้น] ซึ่งอาจเรียกว่า Risk Premium จากการย้ายการถือครองหลักทรัพย์ว่าจะสูงหรือต่ำ ถ้าค่าสูงมากก็จะเข้ามาที่ตลาดหุ้นมาก แต่ในทางปฏิบัติ นักลงทุนแค่ติดตามค่าเงินบาท เทียบกับฟันด์โฟลว์สะสมสุทธิ ไม่ต้องซับซ้อนอะไรมากมาย

เหลือคำถามสุดท้ายตอนนี้คือ รออะไรอยู่ล่ะ

 

Back to top button