เรื่องวุ่นประสาญี่ปุ่น
เกือบจะลืมกันไปแล้ว แต่ก็ยังลืมไม่ได้
พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล
เกือบจะลืมกันไปแล้ว แต่ก็ยังลืมไม่ได้
เมื่อวานนี้ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ได้ขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขึ้นเครื่องหมาย H หยุดการซื้อขายชั่วคราวเพื่อรอรับรู้ผลวินิจฉัยเกี่ยวกับกรณีที่ บริษัท เจทรัสต์ เอเชีย พีทีอี จำกัด (J TRUST ASIA PTE. LTD.) (เจทรัสต์) แห่งญี่ปุ่น ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทต่อศาลล้มละลายกลาง
เรื่องราวสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 ศาลล้มละลายกลางได้ไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการดังกล่าว แต่เจทรัสต์ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และบริษัทได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2561
ซึ่งล่าสุด ในช่วงเช้าวานนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2562) ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ซึ่งบริษัทพิจารณาแล้วมีความเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษดังกล่าว อาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทและอาจก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของการได้รับข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวกับผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเนื่องจากอาจมีผู้ลงทุนบางส่วนใช้ข้อมูลจากการได้รับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษในการซื้อหรือขายหุ้นของบริษัท ก่อนที่บริษัทจะเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกลงตามคำขอ และได้ขึ้นเครื่องหมาย H พักการซื้อขายหุ้น GL ในการซื้อขายภาคเช้าวานนี้
ถามว่า นัยสำคัญของคดีนี้คืออะไร และอย่างไร
คำตอบคือในเชิงธุรกิจ ไม่มีความหมายอะไร แต่ในด้านภาพลักษณ์ GL มีส่วนทำให้มุมมองของบริษัทธุรกิจที่บริหารและมีอำนาจครอบงำกิจการโดยคนญี่ปุ่นที่ออกมาผจญภัยโพ้นทะเลต้องปรับและทบทวนกันใหม่
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ซึ่งทุ่มเงินส่วนตัว (จากแหล่งไหนไม่ปรากฏชัด) ซื้อกิจการของ GL เข้าตลาดทาง “ประตูหลัง” เมื่อปี 2557 ก็สถาปนาตนเองเป็นประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL และมีน้องชายนายทัตซึยะ โคโนชิตะ เป็นกรรมการผู้จัดการ นานหลายปี
จากนั้น ธุรกรรมที่สองคนพี่น้องสร้างขึ้นมา ที่ต่อมามีคนเปรียบเปรยว่า “โตเร็วกว่าเทพนิยาย” จากข้ออ้างว่า ทำธุรกิจลีสซิ่งในกัมพูชา ทำตัวเลขยอดขาย รายได้ และ กำไรสุทธิเติบโตปีละกว่า 300%
ยามนั้น แผนธุรกิจจะเติบโตเป็นเจ้าตลาดอาเซียน และเอเชียถูกวาดเอาไว้สวยหรู หุ้น GL เป็นขวัญใจของนักลงทุนสถาบัน รายย่อย นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชนสายการเงิน คำพูดขายฝันของนายมิทซึจิยามนั้นเปรียบได้กับดอกพิกุลทองที่ร่วงมาจากปาก
ราคาหุ้น GL ในปี 2558 ถือเป็นดาวเด่นสุดแล้วราคาต้นปีระดับ 10 บาท วิ่งขึ้นไปเฉียด 100 บาท ทำกำไรกันไม่รู้กี่รอบ
ระหว่างนั้น การระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้ และเพิ่มทุน ล้วนขายดีจนหมดเกลี้ยง หนึ่งในลูกค้ารายใหญ่คือ เจทรัสต์นี่เอง และเจทรัสต์ก็ทำการแปลงสภาพตราสารหนี้เป็นหุ้นสามัญจนกลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ GL ด้วย
ไม่เคยมีใคร (รวมทั้งนักวิเคราะห์ระดับเซียนทั้งในประต่างประเทศ) ตั้งคำถามยามราคาหุ้นเป็นขาขึ้นว่าเหตุใด 2 ลูกหนี้รายใหญ่ของ GL จึงกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทด้วย
รวมทั้งไม่มีใครตั้งคำถามว่าการเข้าทุ่มเงินซื้อกิจการในศรีลังกาด้วยราคาสูงกว่าตลาดมากกว่า 70% เพื่อทำธุรกรรมปล่อยสินเชื่อในเมียนมา มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร
แล้ววันหนึ่ง ต้นปี 2559 ผู้ถือหุ้นและตราสารหนี้ GL กลายเป็นเทวดาตกสวรรค์เมื่อผู้ตรวจสอบบัญชีตั้งหมายเหตุประกอบงบการเงินถึงวิศวกรรมการเงินอันยอกย้อนซ่อนเงื่อน ก่อนจะรับรองงบอย่างมีเงื่อนไข
แรกสุดที่มีข่าวเรื่องนี้ออกไป การออกมาของผู้บริหาร GL และ J TRUST ยังออกมาในทิศทางเดียวกัน คือยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มีความพยายามในการแถลงข่าวเพื่อแก้ต่างหลายครั้งเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงว่า GL และธุรกรรมอื่นทางธุรกิจของเขาในหลายประเทศนั้น มีความชอบธรรม ถูกกฎหมาย และมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน สะท้อนถึงภาวะความเป็นผู้นำขององค์กรที่เติบโตรวดเร็วมากได้ดี
ตัวนายมิทซึจิ จะยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวว่า การปล่อยกู้ของ GL ที่มีผลตอบแทนมหาศาล ผ่านบริษัทลูกในสิงคโปร์ ไปให้ลูกค้า 2 กลุ่ม (ที่ไม่เปิดเผยรายชื่อ โดยอ้างถึงเงื่อนไขห้ามเปิดเผยความลับทางการค้า) ไม่ได้เป็นความผิดปกติ แต่กลับมีลักษณะ “กำไรสูง เติบโตเร็ว เสี่ยงต่ำ” ซึ่งขัดแย้งกับหลักจารีตในการทำธุรกิจทั่วโลกที่รู้จักกันทั่วไป ว่า ยิ่งกำไรสูง ยิ่งมีความเสี่ยงสูง
แล้วเรื่องฉาวโฉ่ของสองพี่น้องก็โผล่ขึ้นมา เมื่อมีข้อมูลพบว่า ความไม่ชอบมาพากลนั้นโยงเข้ากับเครือข่ายของกลุ่มเดียวกันในญี่ปุ่นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นโตเกียว และโอซาก้า ซึ่งมีการถือหุ้นไขว้กันไปมา แล้วธุรกรรมก็ถูก ก.ล.ต.ญี่ปุ่นดำเนินการทางกฎหมายอยู่
ต่อมา ก.ล.ต.ของไทยเองก็กล่าวโทษสองพี่น้องโคโนชิตะ จนกระทั่งมีการปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริษัทเสียใหม่
เรื่องฉาวก็ทำให้ราคาหุ้นของ GL ร่วงลงมาอยู่ใต้ระดับ 8.00 บาทแน่นิ่งมานานนับปี กลายเป็นหุ้นที่ถูกเมินไปโดยปริยาย
แม้ว่า ในปี 2561 ความสามารถทำกำไรของ GL จะเริ่มกลับมาช้า ๆ แต่เมื่อคนเลิกหลงละเมอกับการเติบโตดุจเทพนิยายของพี่น้องโคโนชิตะ ราคาหุ้นของบริษัทก็คงยากจะกลับมาหวือหวาได้อีก
กรณีการฟ้องล้มละลายของเจทรัสต์ต่อ GL ที่ไม่น่าจะมีความหมายอะไรมากนัก เป็นเพียงฉากดราม่าแบบละคร “โนะ” ที่หาคนดูได้ยากเต็มทีเท่านั้น
ทำนองเดียวกันกับ คำพูดแก้ตัวที่ไม่มีคนกล่าวหาของนายมัทซึจิ ที่โพล่งขึ้นมาเองโดยไม่มีใครถามว่า “ผมไม่ใช่ ยากูซ่า”