ส.ว.สมองป้อม
“แม้ส.ว.จะตั้งมาจากผมแต่ถามว่าพวกคุณจะดูถูกทั้ง 250 คนนี้หรือ เขาไม่มีสมองหรือ เขาไม่รักประเทศหรือ ทุกคนต่างก็รักประเทศ อย่าหวงความรักประเทศชาติรักประชาธิปไตยอยู่แต่เพียงพรรคการเมืองนักการเมือง”
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
“แม้ส.ว.จะตั้งมาจากผมแต่ถามว่าพวกคุณจะดูถูกทั้ง 250 คนนี้หรือ เขาไม่มีสมองหรือ เขาไม่รักประเทศหรือ ทุกคนต่างก็รักประเทศ อย่าหวงความรักประเทศชาติรักประชาธิปไตยอยู่แต่เพียงพรรคการเมืองนักการเมือง”
ท่านผู้นำตอบโต้คนวิจารณ์ ว่าตั้ง 250 ส.ว.มาเลือกตัวเองเป็นนายกฯ สุดท้ายก็พิสูจน์แล้ว ส.ว. 250 คน มีสมองแน่นอน รักประเทศแน่นอน เพราะท่านเพิ่งตั้งพี่ป้อม เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ซึ่งจะใช้สติปัญญา หาคนดีมีสมอง 400 คนมาให้ท่านเลือกไว้ 194 คนบวกกับ 6 ผบ.เหล่าทัพ ที่ควบเก้าอี้รับเงินเดือน 2 ทางตามโควตา
ส่วนอีก 50 คน ท่านก็จะคัดจาก 200 คนที่ผ่านการสมัครมาเลือกกันเองอย่างเงียบเหงางงงวยที่สุดในโลก รวมเป็น 250 คนที่มีอำนาจเลือกนายกฯ เท่าคะแนนเลือกตั้งจากประชาชนครึ่งประเทศ
แต่นี่คือประชาธิปไตย อ้าว ก็ท่านอ้างรัฐธรรมนูญ+คำถามพ่วงที่ผ่านประชามติไง ใครไม่เห็นด้วยแต่ตอนนั้นดันรับร่างรัฐธรรมนูญก็ตีอกชกหัวไป จะว่าไม่รู้ไม่ได้นะ ตอนนั้น กรธ.มีชัยก็รณรงค์ให้รับให้รู้แล้วไง เช่น บอกว่ารับร่างรัฐธรรมนูญไปเหอะ จะมีหมอประจำบ้าน
เมื่อท่านมอบให้พี่ป้อม พี่น้องคลานตามกัน ที่สอนท่านเป็นคนดี มาสรรหาคนดีคนเก่ง จะไม่เชื่อมั่นได้อย่างไร เป็นใครก็ต้องเชื่อสิ ว่ายังไง ๆ 194 คนต้องไม่แตกแถว เป็นคนมีสมองที่ต้องยกมือเลือกท่านผู้นำเป็นนายกฯ ต่อไปแน่นอน ตามสูตร 250+126 ก็เป็นนายกฯ ได้ เพียงแต่ถ้าได้ ส.ส.มากกว่านั้น ก็อาจมีบางคนงดออกเสียงบ้าง ไม่ให้ดูน่าเกลียด
คนมีสมองที่ไหนกัน จะไม่ยกมือให้คนตั้งตัวเอง ยิ่งอ้างว่ารักประเทศ ก็ต้องรักแบบเดียวกัน คือรักประเทศดอกจึงต้องสืบทอดอำนาจ วางโครงสร้างให้รัฐราชการ ทหาร ศาล องค์กรอิสระ คุมอำนาจชั่วกัลปาวสาน ไม่ให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่ง รักประชาธิปไตย ก็คือประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ตามรัฐธรรมนูญนั่นไง
เพียงขำ ๆ ว่าไม่มีใครแล้วหรือ จึงต้องตั้งพี่ป้อม พรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามลูบปาก หาเสียงไม่ยาก เพื่อไทยก็เริ่มดักคอ เลือกลุงตู่เป็นนายกฯ ได้พี่ป้อมนาฬิกาเป็นของแถม (ดีไม่ดีพ่วงป๊อกเรือเหาะ)
กติกาลักลั่น “เอาเปรียบตามรัฐธรรมนูญ” (ที่เป็นประชาธิปไตยเพราะผ่านประชามติ) ออกลายความไม่ชอบธรรม ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมมากขึ้นทุกที แถมยังมัดตัวเอง อย่างคำอธิบายของวิษณุ เครืองาม เรื่องการขึ้นเวทีดีเบตของท่านผู้นำ
ท่านผู้นำเป็นข้าราชการ ต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เหมือนแคนดิเดตนายกฯ พรรคอื่น ที่เป็นผู้สมัคร เป็นสมาชิกพรรค ฉะนั้นท่านพูดนโยบายพรรคไม่ได้ ต้องพูดวิสัยทัศน์ของตัวเอง พูดคำว่าประชารัฐได้ แต่พูดคำว่าพลังประชารัฐอันตราย ฯลฯ
อ้าวเฮ้ย ต้องวางตัวเป็นกลาง แล้วไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองได้ไง ให้เอาภาพไปติดป้ายหาเสียงผู้สมัคร แต่พูดคำว่าพลังประชารัฐไม่ได้ เป็นข้าราชการแต่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ไพล่ไปอ้างว่า ป.ป.ช.วินิจฉัยไม่ต้องส่งบัญชีทรัพย์สินเพราะเป็นองค์กรชั่วคราวตามรัฐธรรมนูญ
ฟังแล้วมันศรีธนญชัยชัด ๆ เปล่า ไม่ได้ว่าวิษณุ แต่เป็นกติกาศรีธนญชัย เพราะให้อำนาจท่านผู้นำมหาศาล เป็นอำนาจที่ควรจะเป็นกลาง แต่ดันเปิดช่องให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ โดยอาศัยเลี่ยงกติกาว่ากฎหมายไม่ห้าม