พาราสาวะถี
ประเทศไทยหลังการเลือกตั้งโฉมหน้าจะเป็นอย่างไร เชื่อได้ว่า คงน่าจะเห็นทิศเห็นทางกันบ้างแล้วจากท่วงทำนองของหัวหน้าเผด็จการที่จะสืบทอดอำนาจแน่นอน และ ตัวตนของส.ว. 250 เสียง ที่ วิษณุ เครืองาม หนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกส.ว.ได้เผยสเปกออกมา ใช้อดีตสนช. สปช.และสปท.เป็นหลัก แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าจะมีใครบ้างเข้าไปนั่งชูคอในฐานะสมาชิกลากตั้ง
อรชุน
ประเทศไทยหลังการเลือกตั้งโฉมหน้าจะเป็นอย่างไร เชื่อได้ว่า คงน่าจะเห็นทิศเห็นทางกันบ้างแล้วจากท่วงทำนองของหัวหน้าเผด็จการที่จะสืบทอดอำนาจแน่นอน และ ตัวตนของส.ว. 250 เสียง ที่ วิษณุ เครืองาม หนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกส.ว.ได้เผยสเปกออกมา ใช้อดีตสนช. สปช.และสปท.เป็นหลัก แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าจะมีใครบ้างเข้าไปนั่งชูคอในฐานะสมาชิกลากตั้ง
ส่วนองค์ประกอบอื่นของส.ว.ตามกล่าวอ้างที่ว่าจะมีตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทยและอื่น ๆ ก็ล้วนแล้วแต่คนหน้าเดิมที่มีส่วนร่วมกับขบวนการโบกมือดักกวักมือเรียกให้เกิดคณะเผด็จการคสช.ทั้งสิ้น พูดให้ชัดคือหน้าตาของสภาเผด็จการทั้ง 3 ชุดในองคาพยพแม่น้ำ 5 สายเป็นอย่างไร ส.ว.ลากตั้งก็ไม่น่าจะหนีจากคนเหล่านั้นแทบทั้งหมด
ดังนั้น ไม่ต้องไปอธิบายหรือแถไถที่ไหนอีกว่า กระบวนการร่วมโหวตเลือกนายกฯ หลังเลือกตั้งของส.ว.ลากตั้งนั้นจะเป็นไปแบบมีสมอง ความจริงถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเป็นสมองที่ถูกฝังชิพไว้แล้วว่าต้องเลือกใคร ทั้งหมดเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหากยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาว่าสิ่งที่ดำเนินการหลังการยึดอำนาจทั้งหมดเป็นไปเพื่อการสืบทอดอำนาจทั้งสิ้น
พอจะเข้าใจได้ว่าคงไม่มีใครหน้าไหนที่จะมายอมรับว่า สิ่งที่พวกตัวเองเรียกว่ากระบวนการทางกฎหมายทั้งหลายที่อ้างเพื่อการปฏิรูปในทุกด้านนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่การล็อกสเปกการต่อท่ออำนาจและการตีกันฝ่ายการเมืองอันหมายถึงเครือข่ายของระบอบทักษิณเป็นด้านหลัก ถึงแม้จะไม่สารภาพแต่พฤติกรรมและการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมด ชาวบ้านร้านรวงเขารู้กันไปทุกหย่อมหญ้า
เหมือนกับการถกเถียงเรื่องคุณสมบัติของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ หากฟังจากเนติบริกรของฝ่ายเผด็จการ ย่อมอธิบายให้เห็นถึงความถูกต้อง สง่างามของผู้นำเผด็จการอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายที่เห็นต่างต่อให้วิจารณ์กันอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทางที่ดีที่สุดคือ ฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนถ้าไม่กล้าตีความเองก็อย่ายื้อรีบส่งให้ผู้มีอำนาจวินิจฉัยอย่างศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดไปเสีย
ยิ่งยึกยักดึงจังหวะซื้อเวลาไปมากเท่าไหร่ ยิ่งไม่เป็นผลดีกับองค์กรที่ตนเองกำกับดูแลแต่อย่างใด ไม่ต้องห่วงว่าปลายทางจะเป็นปัญหาต่อผู้ที่จะสืบทอดอำนาจ เพราะถ้าขาใหญ่ด้านกฎหมายอธิบายความกันมาถึงขนาดนี้ คงพอจะคาดเดาบทสรุปของการตีความได้อยู่แล้วว่าจะออกมาอย่างไร ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่าองค์กรอิสระทั้งหลายที่มีอยู่เวลานี้ต่างก็มีส่วนที่ถูกมองว่าล้วนเกรงอกเกรงใจผู้มีอำนาจทั้งสิ้น
องค์กรหนึ่ง คนในองค์กรถูกมองว่าเคยเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง อุ้มชูกันมา แม้ว่าในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้านายเก่าจะแสดงสปิริตไม่ร่วมพิจารณา แต่ผลที่ปรากฏต่อสายตาสาธารณชนก็ทำให้เห็นแล้วว่า บทสรุปที่ได้เป็นที่พอใจของสังคมหรือไม่ ยิ่งหากคดีที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายตรงข้ามผู้มีอำนาจเกิดความชัดเจนขึ้นมาอีกรอบเมื่อไหร่ ยิ่งเห็นได้ชัดว่านี่จะเป็นองค์กรที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายกุมอำนาจอย่างแท้จริง
ส่วนอีกองค์กรทั้งที่มีอำนาจตามกฎหมายเต็มที่ แต่ก็ทำงานเต็มไปด้วยความเกรงใจ นั่นคงเป็นเพราะอำนาจตามมาตรา 44 สามารถที่จะสั่งปลดได้ทันทีทันใด เหมือนอย่างที่อดีตคนในองค์กรนี้ถูกเชือดเป็นตัวอย่างมาแล้ว เรื่องที่มีเสียงวิจารณ์ต่อมาตรฐานการพิจารณาข้อร้องเรียนจึงไม่ใช่สิ่งที่คนเหล่านั้นจะใส่ใจ ระหว่างการถูกด่ากับการถูกปลด คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องเลือกอะไร ส่วนความโปร่งใส เป็นธรรม ถ้าลองเดินกันแบบนี้ไม่ต้องถามถึง
ขณะที่อีกองค์กรก็ได้รับการเลือกให้ไปต่อ มิหนำซ้ำ บางคนหมดวาระไปแล้วยังได้รับการต่ออายุด้วยม.44 อีก แล้วเช่นนี้จะต้องไปกลัวอะไรกับกระบวนการที่จะต้องเกิดความตีความในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ด้วยเหตุนี้นี่ไงจึงทำให้ใครบางคนอารมณ์ดี ไม่อินังขังขอบต่อคำถามเรื่องความสง่างาม ถูกต้อง จนถึงขนาดที่วันนี้มีปุจฉาตัวโตว่า คำอธิบายของเนติบริกรนั้นเหมือนกับว่าจะยกฐานะของกฎหมายลูกใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ
สำหรับเรื่องการดีเบตที่ผู้นำเผด็จการปฏิเสธจะขึ้นเวทีโดยอ้างว่าไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่อยากประดิดประดอยถ้อยคำไปแข่งกับนักการเมือง พร้อมอวดอ้างสรรพคุณว่าที่ผ่านมาเกือบ 5 ปีนั้นตนเองมีผลงานและแสดงวิสัยทัศน์ให้คนเห็นมาโดยตลอด การย้อนถามจาก ทิชา ณ นคร ล่าสุดน่าจะช่วยกระตุกความรู้สึกของคนในสังคมไม่มากก็น้อย
โดยอดีตสปช.และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ปฏิเสธจะเดินร่วมทางกับเผด็จการได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “5 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่การแสดงวิสัยทัศน์ แต่คือการใช้อารมณ์ในที่สาธารณะ” เป็นการฉายภาพอันเด่นชัดที่เชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่มีใครโต้แย้ง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผู้นำเผด็จการเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหโกรธา เพิ่งจะมาดีขึ้นก็หลังจากที่ประกาศตัวเป็นนักการเมืองเพื่อการสืบทอดอำนาจนี่แหละ
คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ขาดวันที่ 7 มีนาคมนี้ คงไม่ต้องลุ้นอะไรมาก ถ้าเป็นโต๊ะพนันเมืองนอกที่ถูกกฎหมาย ราคาต่อรองโน้มเอียงไปในทางถูกยุบล้านเปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงให้ลุ้นกันแค่ว่าบทลงโทษที่จะตามมาเป็นอย่างไร สถานหนักหรือเบา ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ระบอบทักษิณ) หรือปรานีให้ยังมีอนาคต (เหลือ) กันอยู่บ้าง กรณีนี้ไม่ใช่การชี้นำหรือก้าวล่วงกระบวนการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่มองตามเนื้อผ้ามันคงไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้นแน่นอน
ส่วนผลสะเทือนต่อการเลือกตั้งก็อย่างที่บอก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในแง่ของเสียงสนับสนุน แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้สิ่งที่นักการเมืองเป็นกังวลกันมากกว่าน่าจะเป็นเรื่องของความโปร่งใส สุจริต เป็นธรรม ถึงขนาดที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมส่งหนังสือให้กกต.เปิดเผยรายชื่อของคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งกันแล้ว ระดับพรรคเก่าแก่เก็บรายละเอียดกันลึกถึงขนาดนี้ คงไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน หรือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอย่างที่มีบางคนพูดว่ามีแค่ 2 ทางคือ โกงสะบัดกับทำให้เป็นโมฆะ จริง ๆ