พาราสาวะถีอรชุน
ประสานเสียงกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร บอกว่ากลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวเวลานี้มีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง พร้อมกับบอกด้วยว่า มีหลักฐานในโซเชียลมีเดีย ตามมาด้วยการขู่สื่ออย่านำเสนอข่าวดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะกระทบภาพรวมของประเทศ รวมทั้งเตือนให้นักศึกษาระวังอันตรายจากกลุ่มที่เห็นต่าง
ประสานเสียงกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร บอกว่ากลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวเวลานี้มีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง พร้อมกับบอกด้วยว่า มีหลักฐานในโซเชียลมีเดีย ตามมาด้วยการขู่สื่ออย่านำเสนอข่าวดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะกระทบภาพรวมของประเทศ รวมทั้งเตือนให้นักศึกษาระวังอันตรายจากกลุ่มที่เห็นต่าง
ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่ต้องขีดเส้นใต้ เพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาทำกันอย่างเปิดเผย หากฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายก็เข้าจับกุมดำเนินคดีได้ทันที แน่นอนว่า ในยุคที่มีกฎหมายพิเศษบังคับใช้นี้ จะปล่อยให้มีฝ่ายเห็นต่างมาทำร้ายกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ได้
แม้จะมีอาการไม่พอใจอย่างไร ก็ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เว้นเสียแต่จะจงใจ และดูท่าว่าจะไม่เนียนเท่าไหร่จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายศาลเข้าจับกุม 14 นักศึกษาที่สวนเงินมีมา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งมาชูป้ายไม่เห็นด้วยกับนักศึกษา เข้าทางที่ท่านผู้นำว่าจริงๆ อย่างไรก็ตาม การกล่าวหาเรื่องกลุ่มหนุนหลังนั้นคงต้องให้บิ๊กตู่และบิ๊กโด่ง ช่วยแสดงหลักฐานให้ประชาชนได้เห็นเต็มสองตา มันจะไม่ได้เป็นการกล่าวหาแบบชุ่ยๆ เหมือนที่นักการเมืองชอบทำกัน
ในกรณีนี้ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็ออกมาปฏิเสธในฐานะที่เป็นประธานนปช.และหนีไม่พ้นจะต้องเป็นกลุ่มการเมืองที่ถูกเพ่งเล็งอย่างแน่นอน พร้อมๆ กับการเรียกหาหลักฐานจากผู้กล่าวหา ไม่เพียงเท่านั้นตุ๊ดตู่ยังยืนยันด้วยว่า ได้มีการประสานไปยังแนวร่วมทุกระดับไม่ให้เข้าร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าจะไปทำลายพลังอันบริสุทธิ์และทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มดังกล่าว
การแสดงออกเช่นนี้คงเป็นการเข้าใจหัวอกในฐานะนักเคลื่อนไหวด้วยกัน เพราะจตุพรเองก็เคยเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการมาในยุคพฤษภาทมิฬ ร่วมสมัยกับ ปริญญา เทวานฤมิตกุล ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ กรุณา บัวคำศรี หรือแม้กระทั่ง สุริยะใส กตะศิลา เหล่านี้คือปัญญาชนในยุคสมัยนั้นที่ต่อต้านอำนาจจากปลายกระบอกปืน แม้วันนี้จะมีบางส่วนที่หันไปจูบปากยกมือเชียร์ประชาธิปไตยลายพรางก็ตาม
ทางด้านของกลุ่มนักศึกษาก็ได้มีการออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที ซึ่งเนื้อหานั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งและสมควรที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ควรมองข้าม กิจกรรมที่พวกเขาทำมาโดยตลอด กับการคลุกคลีช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เป็นบทพิสูจน์ ขณะที่บางคนก็ไม่ใช่พวกระบอบทักษิณ เป็นแนวร่วมสำคัญที่ต่อต้านรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณด้วยซ้ำไป
ดังนั้น ข้อกล่าวหาเรื่องรับทุนมีเบื้องหลัง นักศึกษากลุ่มดังว่าจึงมองเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเพียงเกมการเมืองสกปรก พร้อมๆ กับเรียกร้องให้เลิกพฤติกรรมกล่าวหา โดยมองว่าเป็นมุขเดิมตั้งแต่สมัยสงครามเย็น สมัย 6 ตุลา ซึ่งใส่ร้ายป้ายสีนักศึกษาคือผู้หลงผิด ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ให้บทเรียนมาแล้ว การกล่าวหานักศึกษาสุดท้ายจบลงด้วยการที่คนไทยออกมาฆ่ากันเอง
มีปุจฉาย้อนกลับไปยังผู้มีอำนาจ อย่างน่าสนใจว่า คุณหมดงบประมาณไปเท่าไหร่กับการรัฐประหาร ใครเป็นกลุ่มทุนหนุนหลังพวกท่าน ใครคือกลุ่มที่หนุนหลังการยึดอำนาจประชาชน ใครสนับสนุนงบประมาณพวกท่านในการระดมกำลังคอยติดตามพวกเราโดยตลอด ตรงนี้ต่างหากที่ควรมีคำตอบและน่าจะเลยถามไปถึงด้วยว่าม็อบก่อนหน้าที่จะมีรัฐประหาร มีใครอยู่เบื้องหลังด้วย
แม้จะเป็นพลังกลุ่มเล็กๆ ที่ดูแนวโน้มแล้วคงจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ทำความหงุดหงิดหัวใจให้กับผู้มีอำนาจไม่น้อย ซึ่งถึงตรงนี้ยังคงมีข้อเสนอที่เหมือนเดิมคือ ในบรรยากาศที่อ้างว่าต้องการปฏิรูปประเทศและเตรียมความพร้อมนำไปสู่การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรที่จะมีการผ่อนปรนข้อกฎหมาย เปิดช่องทางแลกเปลี่ยน รับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางมากขึ้น
เพราะมัวแต่ไปเกรงว่าถ้าเปิดเวทีแล้วจะเป็นเวทีให้พวกต้านรัฐประหารได้โจมตีรัฐบาลคสช. ถ้ามองในมุมกว้างก็จะเป็นเรื่องดีเสียอีกไม่ใช่หรือ ที่จะได้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความใจกว้างของผู้มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เรื่องไหนที่ไม่เป็นความจริงก็สามารถที่จะชี้แจงตอบโต้ได้ ส่วนเรื่องไหนที่เป็นข้อเท็จจริงแล้วจะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติก็รับนำไปสู่การปรับเปลี่ยน
ตัวบิ๊กตู่เองก็ยอมรับว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง วันนี้คนส่วนใหญ่ก็รู้กันอยู่ว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการประชาธิปไตย แต่เพื่อให้บ้านเมืองสงบทุกคนก็ให้โอกาสอย่างเต็มที่ ดังนั้น สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นเรื่องของการเปิดใจ ให้โอกาสคนเห็นต่างได้แสดงออกมากกว่า ซึ่งอาจจะกำหนดกติกาว่า การแสดงความเห็นใดๆ ที่จะเปิดให้นั้นต้องเป็นไปเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าไม่ใช่นำไปสู่การยุยง ปลุกปั่น
ต้องไม่ลืมว่า ความเป็นจริงของการปฏิรูปที่เป็นสากลคือ ทุกคนทุกฝ่ายต้องยอมรับความเป็นจริง ความเป็นจริงของประเทศไทยวันนี้คืออะไร เชื่อได้ว่าผู้มีอำนาจคงรู้อยู่แก่ใจ หากยังปล่อยให้ปมสองมาตรฐานคงอยู่ การเลือกปฏิบัติยังเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่จะเจอหนทางนำไปสู่ความปรองดองและบ้านเมืองเป็นสุขนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน
ปากเป็นพิษอีกแล้วสำหรับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อวันก่อนไปพูดในฐานะรองประธานสปช.บอกว่า ขอให้สมาชิกสปช.อย่าห่วง “ขนม 200 ชิ้น” จากสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ เป็นเหตุให้ เสรี สุวรรณภานนท์ ต้องออกมาตอบโต้ทันควัน โดยมองว่า คำพูดเช่นนี้เป็นการดูถูกสมาชิกสปช.ด้วยกัน หาว่าเห็นแก่ตำแหน่งในอนาคต
ไม่เพียงเท่านั้นเสรียังซัดดอกเตอร์ปื๊ดต่อว่า การพูดครั้งนี้ไม่ต่างจากกรณีที่เคยพูดถึงมวลชนเสื้อแดงจนเป็นปัญหา แล้วก็ต้องออกมาแก้ต่างว่า ไม่ได้เจตนา แสดงว่าสมาชิกสปช.เองก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวของบวรศักดิ์ แต่ก็อีกนั่นแหละได้ชื่อว่าเนติบริกร ย่อมมีความพลิกพลิ้วอยู่ในตัวอยู่แล้ว ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้น หาวาทกรรมมากลบเกลื่อนเพื่อที่จะให้ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบกับคำพูดที่ร่วงจากปากไปแล้ว