พาราสาวะถี
คงไม่ต้องไปส่งตีความที่ไหน ในเมื่อ วิษณุ เครืองาม อธิบายคุณสมบัติของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนเห็นภาพกระจ่างชัดกันขนาดนั้น แม้จะออกตัวว่าตนไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการวินิจฉัย แต่สิ่งที่พูดมาทั้งหมดก็เหมือนกับการชี้นำ ยิ่งมีองค์กรตีความที่เกรงใจอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คิดว่าผลที่จะออกมาจะผิดแผกแตกต่างไปจากสิ่งที่เนติบริกรอธิบายเช่นนั้นหรือ
อรชุน
คงไม่ต้องไปส่งตีความที่ไหน ในเมื่อ วิษณุ เครืองาม อธิบายคุณสมบัติของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนเห็นภาพกระจ่างชัดกันขนาดนั้น แม้จะออกตัวว่าตนไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการวินิจฉัย แต่สิ่งที่พูดมาทั้งหมดก็เหมือนกับการชี้นำ ยิ่งมีองค์กรตีความที่เกรงใจอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คิดว่าผลที่จะออกมาจะผิดแผกแตกต่างไปจากสิ่งที่เนติบริกรอธิบายเช่นนั้นหรือ
ไม่ได้กล่าวหาว่าเป็นการใช้อำนาจกดทับหรือสั่งการองค์กรอิสระ แต่ในเมื่อมือกฎหมายที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าเวลาชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้นำเผด็จการและเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับรัฐบาล รวมถึงยืนอยู่เบื้องหลังทั้งการพิจารณาข้อกฎหมายต่าง ๆ ของฝ่ายนิติบัญญัติ รวมไปถึงองคาพยพของคณะเผด็จการ สังเกตได้จากพฤติกรรมหรือการพูดหลายครั้งที่ผ่านมา จะตรงตามสิ่งที่องค์กรเหล่านั้นผ่านความเห็นชอบทั้งสิ้น
หากจะบอกว่าเป็นหมอดูทางกฎหมายที่แม่นยำยิ่งกว่าโหรทุกสำนักในโลกใบนี้คงไม่ผิดนัก อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผู้นำเผด็จการยังจะออกลูกลีลาต่อคำเชื้อเชิญของพรรคสืบทอดอำนาจในการไปร่วมเดินสายหาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัย ทั้ง ๆ ที่กกต.ยืนยันหนักแน่นว่าสามารถทำได้ โดยอ้างการถูกสหบาทาจ้องจับผิดจากพรรคฝ่ายตรงข้าม
ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง สิ่งที่กระทำอยู่เป็นเพียงการดึงจังหวะหรือออกลูกยึกยักเพื่อไม่ให้น่าเกลียด ในทำนองรับรู้ส่งลูกกันทันทีทันใด หลังได้ไฟเขียวจากองค์กรที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง แต่เชื่อเถอะว่าในวันปราศรัยใหญ่ที่โคราช 10 มีนาคมนี้ จะมีผู้นำเผด็จการขึ้นเวทีอย่างแน่นอน และโดยสัญชาตญาณก็เชื่อได้อีกเช่นกันว่าจะต้องพูดอะไรให้เป็นประเด็นและเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจให้กับผู้บริหาร สมาชิกและกองเชียร์พรรคสืบทอดอำนาจด้วยเช่นกัน
กรณีของผู้นำเผด็จการนั้นถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของพรรคสืบทอดอำนาจ เพราะลำพังตัวพรรคและคณะผู้บริหารที่ทำงานกันอยู่เวลานี้ ไร้ซึ่งกระแสและการเรียกคะแนนนิยม มิเช่นนั้น คงไม่ลุ้นกันตัวโก่งต่อผลการตีความของกกต. ซึ่งความจริงเรื่องการหาเสียงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ท่านผู้นำไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าแลก เพราะการจัดตารางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนก็คือการหาเสียงดี ๆ นี่เอง ถูกกฎหมายและไม่ต้องรอเวลานอกราชการด้วย
จะว่าไปตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มนั้น หากไม่คิดกันแบบศรีธนญชัยไม่น่าจะมีเวลานอกราชการเสียด้วยซ้ำ เพราะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีหัวโขนความเป็นหัวหน้าคสช.พ่วงเข้าไปอีกยิ่งเด่นชัด การถือมาตรา 44 อยู่ในมือยิ่งเป็นตัวบ่งบอกว่ามีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในทุกเรื่องได้ 24 ชั่วโมง ดังนั้น เพื่อไม่ให้ใครต้องไปยื่นร้องให้เกิดการตีความและทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรที่ต้องวินิจฉัยเสียหาย ไม่ไปร่วมเดินสายกับพรรคที่ถูกมองว่าตั้งมาเพื่อสืบทอดอำนาจทุกอย่างก็จบ
ย้ำกันอีกกระทอก ไม่ต้องกลัวว่าประชาชนจะไม่รู้จัก ขนาดไม่ได้มีป้ายขึ้นรูปคู่สมัคร ขนาดยังไม่ได้ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค คนบ้านนอกคอกนายังรู้ว่าพลังประชารัฐเป็นพรรคของใคร มิเช่นนั้น คงไม่มีคนไปตะโกนบอกท่านผู้นำในวันที่ลงพื้นที่ที่จังหวัดพะเยาว่า “พลังประชารัฐไม่ต้องห่วง” ถ้าเป็นสินค้าก็ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จในการสร้างการรับรู้แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายจะสืบทอดอำนาจต้องเข้าใจในเมื่อกระโจนเข้าสู่สนามเลือกตั้งแล้ว สินค้าให้ประชาชนเลือกย่อมมีหลากหลาย จึงขึ้นอยู่กับว่าของที่นำไปขายนั้นมีคุณภาพหรือไม่ หากมั่นใจในจุดแข็งของตัวเอง และเชื่อว่าจะดึงดูดให้ประชาชนตัดสินใจเลือกได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปทุ่มทุนสร้างหรือลงทุนทำการตลาดในลักษณะที่จะถูกเล่นงานจากฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อกล่าวหาเล่นนอกกติกาหรือเอาเปรียบคู่แข่ง
จะว่าไป จากข้อจำกัดที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกลไกขององคาพยพรัฐประหาร ก็สร้างความอึดอัดและลำบากต่อการขับเคลื่อนของพรรคคู่แข่งอยู่แล้ว ขณะที่บางพรรคยังเผชิญกับชะตากรรมถูกยุบ ยิ่งทำให้ตัวแบ่งแต้มหายไปจากสารบบ อย่างไรก็ตาม พอจะเข้าใจได้ว่า คำว่าศักดิ์ศรี ความสง่างามและต้องกวาดคะแนนเสียงให้เป็นกอบเป็นกำเพื่อทำลายข้อครหาสืบทอดอำนาจและเอาเปรียบคู่แข่ง ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ฝ่ายกุมอำนาจต้องทำให้ได้และให้เนียน โดยไร้ข้อกล่าวหา “โคตรโกง” ตามมาหลังเลือกตั้ง
ยังมีอีกหลายกระบวนท่าที่จะให้เซียนการเมือง รวมถึงมือใหม่ในสนามเลือกตั้งได้ศึกษาจากการหย่อนบัตรเพื่อสืบทอดอำนาจครั้งนี้ แต่ที่ถูกทดสอบอย่างหนักหน่วงในฐานะน้องใหม่กระแสแรงคงหนีไม่พ้นพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ตกเป็นเป้าโจมตีด้วยข้อกล่าวหาสารพัดอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวขบวนของพรรรค
ได้พักหายใจหายคอจากข้อกล่าวหาหนึ่ง ก็จะถูกเล่นงานจากอีกข้อกล่าวหาหนึ่ง ล่าสุดเป็นเรื่องของบริษัท วันโอซี คอร์ปอเรชั่น ที่ถูกสำนักข่าวแห่งหนึ่งเปิดโปงว่าพัวพันกับธุรกิจโรงเลื่อยไม้เถื่อน ทำลายธรรมชาติ ร้อนถึง พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคต้องออกมาแถลงข่าวปฏิเสธ และยืนยันว่านี่คือขบวนการสร้างความเท็จเพื่อโจมตีและลดทอนความน่าเชื่อถือของพรรค ใส่ร้ายหัวหน้าพรรคที่คะแนนนิยมดีวันดีคืน
ก่อนที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของบริษัทดังกล่าวว่าเป็นสลีปปิ้งคอมพานี แน่นอนคนที่ทำธุรกิจไม่ต้องอธิบายกันให้มากความว่าหมายถึงอะไร ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นตกใจ และคนทั่วไปก็พอจะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาธรและพรรคของเขา ล้วนแล้วแต่เป็นขบวนการจงใจสร้างข่าวเท็จเพื่อที่จะทำลายกันในช่วงเวลาที่พรรคการเมืองนี้กำลังถูกจับตาและตกอยู่ในภาวะเนื้อหอม นี่คือหนึ่งวิชาสามานย์ที่ทุกคนมองเห็น
ไม่ต่างกันพรรคเก่าแต่เปลี่ยนชื่อใหม่อย่างเพื่อชาติ ก็ถูกปล่อยข่าว สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ดอดหารือกับ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จิ๊กซอว์ที่จะทำให้คนเชื่อถือข่าวนี้คือ ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจ ทั้งคู่เคยเป็นรัฐมนตรีใต้อาณัติ ทักษิณ ชินวัตร แต่ที่ฝ่ายถือหางอีกฝั่งไม่ปักใจเชื่อคงเป็นแนวทางที่ต่างกันสิ้นเชิง เพราะฝ่ายหนึ่งยอมสยบใต้อำนาจเผด็จการ แต่อีกฝั่งประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตยชัดเจน คงยากที่จะผสมพันธุ์กันได้ แม้ว่าการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่คงไม่มีทางเป็นไปได้กับสองพรรคสองขั้วดังว่า