พาราสาวะถี
วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังมีความสุขสุด ๆ กับการเปลี่ยนแปลงบุคลิกและนิสัยตัวเองเพียงชั่วข้ามคืน เพื่อให้สมกับฐานานุรูปแห่งความเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนเห็นแล้วสบายใจ ต้องเชื่อฟังทีมงานสร้างภาพลักษณ์ ปรับเปลี่ยนแบบนี้แล้วโดนใจประชาชนแน่ ๆ
อรชุน
วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังมีความสุขสุด ๆ กับการเปลี่ยนแปลงบุคลิกและนิสัยตัวเองเพียงชั่วข้ามคืน เพื่อให้สมกับฐานานุรูปแห่งความเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนเห็นแล้วสบายใจ ต้องเชื่อฟังทีมงานสร้างภาพลักษณ์ ปรับเปลี่ยนแบบนี้แล้วโดนใจประชาชนแน่ ๆ
แต่คงลืมกันไปว่า สิ่งที่ประชาชนชื่นชอบบิ๊กตู่นั้นก็ด้วยภาพแห่งความเป็นคนดุดัน พูดจาโผงผาง ทำให้ดูน่าเกรงขาม สามารถสร้างความสงบสุขให้กับบ้านเมืองได้ คงลืมไปแล้วกับคำว่าเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ มันก็เหมือนการย้ำจุดยืนของตัวเองว่าเป็นคนอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไป การเปลี่ยนภาพของลุงตู่เพื่อหวังให้เป็นแบบนักการเมืองทั่วไป มันก็เหมือนการลดเกรดสินค้าจากขึ้นห้างมาเป็นแบกะดินนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนลุกส์ของตัวเองเท่านั้น การพูดการจาถ้าฟังการแถลงหลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็จะเห็นได้ว่ามีการหยอกล้อกับผู้สื่อข่าว ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีภาพเช่นนี้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย การบอกว่าความเป็นคนอารมณ์ดี ตลกคือนิสัยพื้นฐานของตัวเอง คงจะทำให้คนเชื่อยาก
อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนต่อการเป็นการนักการเมืองเต็มตัวของผู้นำเผด็จการก็คือ การอธิบายสิ่งที่ตัวเองเป็นเพื่อสร้างภาพจากดำเป็นขาวได้ชนิดที่นักการเมืองอาชีพยังชิดซ้าย ต่อสิ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นนายกฯที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ใช่มาจากการรัฐประหาร ทำเป็นเหมือนว่าประชาชนกินหญ้า คนทั้งโลกกินแกลบ ก็รัฐธรรมนูญที่อ้างนั้นมันคลอดมาจากคำสั่งของใครถ้าไม่ใช่หัวหน้าเผด็จการ
ขณะที่องคาพยพอื่น ๆ ที่นำไปสู่ข้อกฎหมายอันเอื้อต่อการสืบทอดอำนาจในวันนี้ ก็ล้วนแต่มาจากปลายกระบอกปืนทั้งสิ้น นี่แหละเป็นสิ่งที่อธิบายว่าการแถเรื่องพรรคสืบทอดอำนาจ การอ้างเรื่องเป็นแคนดิเดตนายกฯไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ ล้วนแล้วแต่เป็นการขับเคลื่อนที่มีบรรดาเนติบริกรทั้งหลายอยู่เบื้องหลังคอยชี้แนะชี้นำ และจะทำไม่ได้เลยหากคนนำไปใช้ไม่หน้าด้านพอ
เห็นกระบวนการเปลี่ยนตัวเองของผู้นำเผด็จการ เห็นการเดินหน้าทางการเมืองของพรรคสืบทอดอำนาจแล้ว คงเป็นอย่างที่กุนซือทั้งหลายวาดฝันไว้ นี่คือสุดยอดเคล็ดลับวิชาที่นักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวตามไม่ทันแน่ แต่บังเอิญว่าประชาชนเขาจับได้ไล่ทัน คงต้องวัดกันว่า สิ่งที่ทำกันอยู่นั้นจะพาตัวเองและพรรคพวกเข้าวินหรือท้ายที่สุดจะพากันเข้ารกเขาพง อีกไม่กี่อึดใจได้รู้กัน
ไปกันใหญ่ ลิ่วล้อที่แปรสภาพจากม็อบกปปส.มาสยบยอมใต้อุ้งเท้าเผด็จการ อ้างว่าสืบทอดอำนาจจาก ทักษิณ ชินวัตร ไปสู่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันต่างกันตรงไหนจากสิ่งที่ผู้นำเผด็จการทำ แต่คงลืมไปว่าที่คนเหล่านั้นก้าวไปเป็นผู้นำประเทศนั้นด้วยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่เลือกเข้ามา ขณะที่ผู้นำเผด็จการที่ตัวเองยกหางนั้น เขียนทุกอย่างทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้กลับคืนสู่อำนาจ โดยเฉพาะการมีส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงที่รอจะยกมือหนุนอยู่แล้ว
หากจะช่วยย้ำเตือนความจำคนชื่อ ทยา ทีปสุวรรณ ที่หลุดประโยคเด็ดพยายามอธิบายเรื่องสืบทอดอำนาจของเผด็จการมันอาจจะยากไป ที่คนซึ่งมืดบอดทางความคิดจะมองเห็น ก็เอาตัวอย่างที่เป็นประชาธิปไตยก็ได้ กรณี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคที่ตัวเองเคยสังกัดก่อนจะหนีตามพลังดูดมาอยู่พปชร. คราวเมื่อไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ลองกลับไปถามหล่อใหญ่ดูว่า ครั้งนั้นเป็นความสง่างามหรือทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้
นี่คือคำอธิบายง่าย ๆ ว่า กลไกของระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนยอมรับนั้นมันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง แล้วสถาปนาตัวเองเป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ ใช้มาตรา 44 ครองเมืองและคุ้มกะลาหัวคนที่เป็นพวก เป้าหมายเพื่อกระเตงตัวเองและพวกพ้องกลับคืนสู่อำนาจ แล้วยังมีหน้ามาอ้างว่าไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ ไปพูดที่ไหนก็อายที่นั่น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกสีข้างถลอกและสันหลังหวะ
ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นพรรคประชาธิปัตย์อย่างเหนียวแน่น ไม่เพียงแต่ลิ่วล้อในพรรคเท่านั้นที่ช่วยอธิบายท่วงทำนองของอภิสิทธิ์ต่อการปฏิเสธหนุนผู้นำเผด็จการกลับมาเป็นนายกฯอีกกระทอก แต่ไม่ปฏิเสธการจับมือกับพรรคสืบทอดอำนาจ ว่าแล้ว ชวน หลีกภัย ก็ช่วยอธิบายอีกแรง ท่าทีเช่นนี้ไม่ใช่การแทงกั๊กแต่เป็นเรื่องของการประกาศเป็นแกนหลักจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น จึงไม่อาจตัดพรรคการเมืองใดออกไปจากทิศทางที่จะร่วมมือกันได้ในอนาคต เว้นพรรคเพื่อไทย
บอกแล้วว่านี่คือปชป.สไตล์ อธิบายในมุมแทงกั๊ก ทำให้คนฟังงง แต่คนที่เข้าใจจะไม่งง เพราะรู้ดีว่าท่วงทำนองสร้างความงุนงงนั้น มันคือเกมอย่างหนึ่ง ที่เมื่อเกิดการพลิกลิ้น จะถูกนำมาอธิบายให้กับสาธารณชนว่า ที่พูดไว้ก่อนหน้านั้น ไม่ได้มีตรงไหนที่บอกไปซ้ายหรือขวาอย่างชัดเจน นี่แหละ การเดินเกมการเมืองที่ยากจะมีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร
ว่ากันด้วยเรื่องของโพล คงเป็นอย่างที่ท่านผู้นำว่าเชื่อได้หรือเปล่าไม่รู้ อย่างไรก็ตาม หากยึดตามหลักวิชาการ อย่างน้อยก็พอที่จะเป็นตัวชี้วัดทิศทางการเมืองในแต่ละพื้นที่ได้บ้างว่าประชาชนคิดกันอย่างไร เหมือนอย่างม.อ.โพล ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ล่าสุด ที่พบว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 80 จะไม่เลือกพรรคเดิม อันหมายถึงพรรคเก่าแก่ที่ครองเสียงข้างมากในภูมิภาคนี้มาโดยตลอดนั่นเอง
สอดคล้องกันคือคำถามที่ว่าคนภาคใต้จะเลือกพรรคใดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปรากฏว่าอนาคตใหม่แซงมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่เหนือแชมป์เก่าอย่างประชาธิปัตย์ที่ 2 เปอร์เซ็นต์นิด ๆ ปรากฏการณ์ความแรงของพรรคการเมืองใหม่พรรคนี้นี่ไง ที่ทำให้เวลานี้ถูกรุมกินโต๊ะทั้งคดีความที่มีคนไปร้องและการกระแนะกระแหนจากนักการเมืองรุ่นเก๋าหลายราย ต้องลุ้นกันยาว ๆ เลือกตั้งหนนี้ พรรคนายใหญ่ยังเข้าวินเหมือนเดิมหรือพรรคหน้าใหม่จะเก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำหรือสุดท้ายพรรคสืบทอดอำนาจจะชนะแบบมีข้อกังขา