พาราสาวะถี

การเลือกตั้งเห็นเค้าลางความโกลาหลจากความไม่เป็นมวยของกกต.มือใหม่หัดขับกันแล้ว เลือกตั้งล่วงหน้าเป็นตัวบ่งชี้ มีอย่างที่ไหนเจ้าหน้าที่แจกบัตรให้ผู้มีสิทธิผิดเขต ยังมีหน้าทะลึ่งไปบอกให้กา ๆ ไป การปฏิบัติหน้าที่แบบชุ่ย ๆ เช่นนี้ สะท้อนอย่างหนึ่งว่าการให้ความรู้และสร้างสำนึกรับผิดชอบของคนที่จะไปอำนวยความสะดวกให้กับคนไปหย่อนบัตรยังห่างไกลจากคำว่ามืออาชีพ


อรชุน

การเลือกตั้งเห็นเค้าลางความโกลาหลจากความไม่เป็นมวยของกกต.มือใหม่หัดขับกันแล้ว เลือกตั้งล่วงหน้าเป็นตัวบ่งชี้ มีอย่างที่ไหนเจ้าหน้าที่แจกบัตรให้ผู้มีสิทธิผิดเขต ยังมีหน้าทะลึ่งไปบอกให้กา ๆ ไป การปฏิบัติหน้าที่แบบชุ่ย ๆ เช่นนี้ สะท้อนอย่างหนึ่งว่าการให้ความรู้และสร้างสำนึกรับผิดชอบของคนที่จะไปอำนวยความสะดวกให้กับคนไปหย่อนบัตรยังห่างไกลจากคำว่ามืออาชีพ

มีอย่างที่ไหนในเมื่อรู้ว่าผิด ต้องรีบแก้ไข จะไปบอกอะไรส่งเดชเช่นนั้นไม่ได้ หากคนคิดมากถ้าไม่ใช่ความผิดพลาดบกพร่องหรือความชุ่ยเฉพาะตัว ก็อาจจะมองไปถึงกันขนาดว่า มีการอบรมกันมาแล้วหรือไร เลือกตั้งหนนี้ไม่ต้องใส่ใจอะไรมาก เพราะมีโจทย์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าใครต้องชนะ ถ้าเช่นนั้นปลายทางที่ว่า โกงสะบัดกับทำให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ ก็เริ่มใกล้ความเป็นจริง

แต่หากมองโลกในแง่ดี เลือกตั้งล่วงหน้าคนสารพัดร้อยพ่อพันแม่แห่แหนมาลงคะแนน ณ จุดเดียว ใช้บัตรเลือกตั้ง 350 แบบ ย่อมเกิดความสับสนเป็นธรรมดา แต่ถ้าเลือกตั้งทั่วไปใช้สิทธิบ้านใครบ้านมัน คนจำนวนไม่มาก บริหารจัดการกันแบบคนบ้านเดียวกัน ความวุ่นวายคงไม่เกิด สิ่งที่ต้องระวังคือหลังปิดหีบและเริ่มนับคะแนน จุดนั้นจะเป็นบทพิสูจน์การทำงานที่โปร่งใสและการใช้อำนาจที่ถูกครหาว่าสั่งกันมา ถึงเวลาต้องเด็ดขาดอย่าให้ใครได้หือ

เลือกตั้งหนนี้สิ่งสำคัญจะเป็นตัวชี้ชัดความสามารถของหัวคะแนนทั้งหลาย เพราะในเมื่อนับคะแนน ณ หน่วยเลือกตั้ง การบริหารจัดการยิงกระสุนต้องไม่พลาดเป้า หากหลุดไปจากที่ขอก็ไล่เช็กบิลกันได้ง่าย ใครรับไปแล้วไม่กาตรวจสอบกันไม่ยาก นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเมืองที่ปฏิรูปแล้ว จากนับคะแนนที่เทกองรวมกันเพื่อไม่ให้เอื้อต่อการซื้อเสียง ถอยหลังเข้าคลองส่องกันได้ง่าย ๆ เท่านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าดีขึ้นหรือเลวลง

ไม่สืบทอดอำนาจแต่มาตามครรลองประชาธิปไตย มิหนำซ้ำ บางคนยังไปพูดอีกว่าผู้นำเผด็จการคือคนที่สร้างประชาธิปไตย เลอะเทอะกันไปใหญ่ ไม่เคยมีงาช้างงอกจากปากสุนัขฉันใด ประชาธิปไตยก็ไม่มีวันที่จะเกิดจากปลายกระบอกปืนได้ฉันนั้น แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะคนไทยผู้รักประชาธิปไตยวันนี้รู้กันดีว่าอะไรเป็นอะไร การเตรียมพร้อมเพื่อไปจะสั่งสอนใครบางคนบางพวกในวันที่ 24 มีนาคมนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายถูกมองว่าได้เปรียบออกอาการประหวั่นพรั่นพรึง

จับอาการกันง่าย ๆ มือเศรษฐกิจประจำรัฐบาลเผด็จการ ที่ออกตัวมาตลอดไม่ได้ข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งกลับปรี๊ดแตกรายวัน คร่ำครวญเรื่องถูกปรามาสว่าไร้ผลงาน ก่อนที่จะไล่แขวะพรรคการเมืองอื่นไปทั่ว เท่านี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า ที่บรรดาแกนนำพากันโพนทะนาว่ากระแสดี ยิ่งได้ผู้นำเผด็จการช่วยปราศรัยแล้วแทบจะแบเบอร์ แท้ที่จริงก็แค่คำคุยโวโอ้อวดเท่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาลูกคู่ลูกหาบเผด็จการยิ่งขยันช่วยกันปั่นราคา สร้างความชอบธรรมให้กับผู้นำเผด็จการ เลยทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดอาการหมั่นไส้ เหมือนอย่างหัวหน้าม็อบมีเส้นที่ขึ้นเวทีปราศรัยล่าสุด บอก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกสตาร์ตในสนามเลือกตั้งได้เปรียบทุกพรรคไปกว่าช่วงตัวด้วย 250 ส.ว.ลากตั้ง มันเท่ากับเหยียบย่ำซ้ำเติมหัวใจของคนที่จะไปใช้สิทธิโดยไม่คิดอะไรมาก ให้พากันกลับมาทบทวนแล้วว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร

ขณะที่ท่านผู้นำอุตส่าห์อธิบายเชิงประชดประชัน ส.ว.ที่ถูกเลือกมีสมอง คิดเองได้ แต่ลิ่วล้อกลับไม่ได้มองเช่นนั้น เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของตัวเองที่ยืนยันเมื่อตั้งขึ้นมาก็ต้องคุมได้ เท่านั้นเป็นอันจบข่าว ไม่มีใครว่าถ้ารวบรวมส.ส.ได้ 126 เสียงแล้วดันผู้นำเผด็จการเป็นนายกฯ แต่ช็อตต่อไปเมื่อไร้ส.ว.ลากตั้งมาค้ำยัน ว่ากันในสภาผู้แทนราษฎรล้วน ๆ รัฐบาลเสียงข้างน้อยมันจะเดินต่อไปยังไง

คิดแบบง่าย ๆ ว่าไม่ต้องห่วง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการต่อรอง ขอให้ได้เป็นนายกฯก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากัน นั่นเท่ากับเป็นการลงทุนโดยไม่ห่วงเรื่องต้นทุนที่จะใช้ หมายถึงความฉิบหายรออยู่ข้างหน้าอย่าวาดฝันว่าจะได้กำไร ยิ่งเป็นการลงทุนโดยมีบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ไม่อยากนึกภาพว่าแล้วประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร

ประเภทใช้อำนาจขู่กฎหมายพิเศษข่ม อาจทำได้ในช่วงการต่อรองเพราะนักเลือกตั้งไม่อยากให้ไปเริ่มต้นกันใหม่ แต่เมื่อเข้าสู่โหมดทำงานกันแล้ว การตีรวนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับพวกที่เห็นว่าตัวเองได้ไม่สมน้ำสมเนื้อ การออกแบบให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งเป็นรัฐบาลผสม ก็เท่ากับว่าวางอำนาจของฝ่ายบริหารไว้ให้อ่อนแอไปครึ่งค่อนแล้วนั่นเอง

ไม่ต้องแปลกใจทำไมกระแสอนาคตใหม่จึงแรงต่อเนื่อง เพราะการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นสิ่งที่นักการเมืองรุ่นเก๋าจำนวนไม่น้อยคาดไม่ถึง เหมือนที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าวล่าสุดต่อการโอนทรัพย์สินกว่า 5 พันล้านบาทไปให้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุนที่ถูกกฎหมาย เป็นการแสดงความโปร่งใสว่าไม่ได้เล่นการเมืองเพื่อหวังกอบโกย

แต่ก็มีพวกไดโนเสาร์หรือประเภทหลับหูหลับตาเชียร์เผด็จการ รีบบอกทันทีทันใดสิ่งที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ทำเป็นการเตรียมการโกง ด้วยคำพูด “ยังไม่ทันไรมันก็เตรียมตัวโกงแล้ว” เป็นการวิจารณ์บนพื้นฐานของพวกงมโข่ง โลกทัศน์คับแคบ ขณะเดียวกันพวกที่มีความรู้แต่อยู่ในฐานะนักการเมืองคู่แข่งก็ออกมาวิพากษ์ในลักษณะชวนให้สังคมตั้งข้อกังขาต่อสิ่งที่ธนาธรทำ ซึ่งความจริงแล้วถอดรหัสได้ไม่ยาก ถ้าไม่ตาร้อนก็เป็นการเตะตัดขากันเห็น ๆ

อย่างที่ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ออกมาโต้แทนธนาธรกับคำว่า  blind trust ที่นักการเมืองบางรายพยายามจะบิดเบือน โดยชี้ให้เห็นว่า การนำคำว่า “มองไม่เห็น” มาเล่น บิดคำให้กลายเป็นเท่ากับหมายความว่า “ตรวจสอบไม่ได้” จึงไม่ถูกต้อง เพราะ blind ในคำว่า blind trust ไม่ใช่แปลว่าตรวจสอบไม่ได้ คำว่ามองไม่เห็นแปลตรงตัวว่า เจ้าของทรัพย์สินไม่มีสิทธิมองเห็นหรือบงการการจัดการทรัพย์สินใด ๆ เท่านั้น นี่แหละการเมืองสามานย์ที่คนรุ่นหลังต้องเรียนรู้กับพฤติกรรมของพวกเขี้ยวลากดิน

Back to top button