เจาะหุ้น ‘ได้ทั้งขึ้น ทั้งล่อง’ รับรัฐบาลใหม่

ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมายังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ขณะที่วอลุ่มการซื้อขายเบาบาง สืบเนื่องจากการรอความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองไทย แม้พรรคเพื่อไทยจะมีการแถลงการณ์การรวมกลุ่มพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็ตาม แต่มองว่าความไม่แน่นอนของกลุ่มที่จะได้เป็นรัฐบาลยังมีอยู่


เส้นทางนักลงทุน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมายังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับตลอดวัน ขณะที่วอลุ่มการซื้อขายเบาบาง สืบเนื่องจากการรอความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองไทย แม้พรรคเพื่อไทยจะมีการแถลงการณ์การรวมกลุ่มพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็ตาม แต่มองว่าความไม่แน่นอนของกลุ่มที่จะได้เป็นรัฐบาลยังมีอยู่ เนื่องจากฝั่งพลังประชารัฐเองก็มีจำนวนส.ส.ที่ใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังต้องรอทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค. 2562 ก่อน

ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวอาจส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวในกรอบอีกระยะหนึ่ง เพราะนักลงทุนอาจต้องชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนเป็นหลัก

กลยุทธ์การลงทุน…การอ่อนตัวของราคาหุ้นและการซึม ๆ ตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยถือเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล หรือกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่

  1. กลุ่มที่อิงกับกำลังซื้อต่างจังหวัดและผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC
  2. กลุ่มหุ้นที่อิงกับโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC
  3. กลุ่มหุ้นที่มีเงินปันผลสูงกว่า 4% ได้แก่ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO, ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP, บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH
  4. กลุ่มที่มีปัจจัยบวกกระตุ้น จากการที่กลุ่ม CP ขอเลื่อนเจรจาไฮสปีดเทรนจากวันที่ 28 มี.ค.นี้ เป็นวันที่ 4 เม.ย. จะเป็น sentiment บวกกับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC นอกจากนี้งาน Motor show ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 27 มี.ค.-7 เม.ย.นี้จะเป็นปัจจัยบวกกับกลุ่มให้สินเชื่อ และนายหน้าประกันภัยอย่าง บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO

ทั้งนี้จากหุ้นดังกล่าวที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล ทางนักวิเคราะห์เลือกตัวเด่น หุ้นแนะนำ AMATA, BJC, STEC

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ที่ไม่ใช่แค่บริษัทขายที่ดินในนิคมฯ แต่บริษัทก็ยังมีรายได้ที่แน่นอนจากค่าเช่า, ค่าสาธารณูปโภคคิดเป็น 77% ของรายได้รวม

ทั้งนี้จากยอดขายที่ดินฟื้นตัวดีใน 3 เดือนสุดท้ายของปี 2561 ที่ผ่านมา ยอดขายที่ดินกระโดดเป็น 629 ไร่ จาก 219 ไร่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 โดยหลักเป็นลูกค้าจีนที่จะย้ายฐานการผลิตมาไทยหลังมีสงครามการค้า และมีโมเมนตัมดีต่อในปี 2562

อีกทั้งการลงทุนใน EEC เป็นปัจจัยกระตุ้นยอดขายและราคาขายที่ดิน ซึ่งบริษัทมีที่ดินในเขตพื้นที่ EEC สูงถึง 1 หมื่นไร่

นอกจากนี้บริษัททำธุรกิจนิคมฯ ในเวียดนามด้วย โดยอยู่ที่ 3 เมือง คือ เบียนหัว ลองถั่น และฮาลอง ซึ่งจะหนุนการเติบโตในระยะยาว

ทั้งนี้ธุรกิจมีอัตรากำไรสูงมาก ธุรกิจขายที่ดินนิคมและให้เช่ามีอัตรากำไรขั้นต้น 60-69%, สาธารณูปโภค 30-33% อัตรากำไรสุทธิ 23-30%

ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บาท เพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ดูเหมือนจะดีอีกปีในช่วง 2562 ด้วยราคาวัตถุดิบหลักและต้นทุนพลังงานลดลง กอปรกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นน่าจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวต่อเนื่อง และประมาณการว่ายอดขายและกำไรปกติของ BJC จะขยายตัว 6% และ 11% ตามลำดับ ในปี 2562

นอกจากนี้คาดบริษัทย่อยอย่าง BigC กลับมาเติบโตในปี 2562 โดยมีแผนเปิด BigC hypermarkets จำนวน 8 สาขา (โดย 7 สาขา ในประเทศไทย และอีกสาขากัมพูชา) ร้าน BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigCs 200 สาขาภายในปีนี้ ดังนั้นพื้นที่ขายจะเพิ่มขึ้นราว 2.5% ในขณะที่พื้นที่เช่าจะเพิ่มขึ้นถึง 7% เนื่องจากมีการปรับปรุงสาขาเพื่อขยายพื้นที่ 8 สาขา และการปรับพื้นที่เพื่อเพิ่มพื้นที่เช่าอีก 2 สาขา

ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมอยู่ที่ราว ๆ 2% สอดคล้องการประมาณการเต็มปีที่ 2.3% อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะกลับมาขยายตัวจากการเน้นการเพิ่มยอดขายในส่วนของสินค้า softline และ homeline ในขณะที่การประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเปลี่ยนผู้บริหารคลังสินค้าจาก DHL มาเป็นการบริหารด้วยตัวเองน่าจะช่วยเพิ่ม EBIT margin ได้

นอกจากนี้ BJC วางแผนที่จะรีแบรนด์ร้าน M-Point Mart จำนวนทั้งสิ้น 46 สาขา (ร้านสะดวกซื้อในลาว) เป็นร้าน Mini BigC ภายในไตรมาส 2/2562 รวมทั้งอัพเกรดระบบการจัดส่งเพื่อเพิ่มยอดขายและอัตรากำไร รวมถึงเป็นการเตรียมตัวเพื่อรับกับการแข่งขันที่อาจจะสูงขึ้นจากการเปิดร้าน 7-Eleven จาก CPALL ส่วนในกัมพูชานั้น นอกเหนือจากการเปิด BigC hypermarket สาขาแรกในเดือน ต.ค. ปี 2562 BJC ยังมีแผนที่จะเปิดร้าน Mini BigC ใน 3 ปีข้างหน้านี้

ในขณะที่ CBG ยังคงสั่งซื้อกระป๋องอะลูมิเนียมจาก BJC เนื่องจากโรงงานของ CBG กำลังเริ่มผลิตและยังไม่ได้ดำเนินการผลิตอย่างเต็มรูปแบบจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งหลังปี 2562

ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์ทางนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2562 ที่ 60 บาท

บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ได้แรงหนุนทางการเมืองหนุน เนื่องด้วยผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STEC เป็นกลุ่มการเมืองที่มีลุ้นหากเข้าร่วมในกลุ่มรัฐบาล ทำให้มีแรงเก็งกำไรหนุนราคาหุ้น STEC ซึ่งน่าจะมีการผลักดันงานก่อสร้างภาครัฐ สร้างผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง

ที่สำคัญแนวโน้มกำไรปกติยังเติบโต ด้วยจุดแข็งงานในมือ 100 พันล้านบาท รวมทั้งแผนการประมูลงานเพิ่มขึ้นในปีนี้น่าจะเป็นแรงหนุนให้รายได้เดินหน้าเติบโตสู่ระดับ 31 พันล้านบาท จาก 27 พันล้านบาท ขณะที่ Margin ยังน่าจะรักษาไว้ได้ ต้นทุนวัสดุก่อสร้างยังไม่น่าปรับเพิ่มผันผวน อีกทั้งงานที่รับรู้มากขึ้นน่าจะช่วยลดสัดส่วนรายจ่ายคงที่ อัตราการทำกำไรปกติสูงขึ้น ทำให้คาดกำไรปกติปีนี้เพิ่ม 13%

ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28.60 บาท

สำหรับหุ้นที่นำเสนอถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นปลอดภัยอีกกลุ่มหนึ่งกับการได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล …“รับทั้งขึ้น-ทั้งล่อง”…!!!

Back to top button