พาราสาวะถี

ทำเอาตกอกตกใจไปตาม ๆ กันที่จู่ ๆ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็เกิดอาการของขึ้นด่ากราดไปถึงกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองเวลานี้ โดยมีคำพูดไปถึงนักวิชาการที่รุนแรงว่าเป็นพวกจบนอกแต่อย่ามาทำตัวเป็น “พวกซ้ายตกขอบ” ดัดจริตคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


อรชุน

ทำเอาตกอกตกใจไปตาม ๆ กันที่จู่ ๆ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็เกิดอาการของขึ้นด่ากราดไปถึงกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองเวลานี้ โดยมีคำพูดไปถึงนักวิชาการที่รุนแรงว่าเป็นพวกจบนอกแต่อย่ามาทำตัวเป็น “พวกซ้ายตกขอบ” ดัดจริตคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

คำกล่าวหาเช่นนี้ดูท่าจะรุนแรงเกินไป เพราะเชื่อได้เลยว่าใครก็ตามที่เคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คงไม่มีความคิดถึงขั้นที่จะล้มล้างการปกครองตามที่บิ๊กแดงกล่าวหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสถาบันสูงสุด ที่คนไทยทุกคนไม่มีใครคิดเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากการเทิดทูนไว้เหนือสิ่งใด มีแต่พวกที่หวังผลอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้นที่มักจะนำมาแปดเปื้อน เรื่องนี้คือความจริงในขบวนการต่อสู้ทางการเมืองทุกยุคทุกสมัย

ถ้าเช่นนั้น ลองถามต่อไปได้ไหมว่า ระหว่าง ซ้ายตกขอบ กับ ขวาตกยุค อย่างไหนที่น่ากลัวกว่ากัน คำตอบของสังคมเวลานี้คือน่าจะพวกหลังมากกว่า เพราะคนพวกนี้นอกจากดักดานแล้ว ยังต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมหาศาลในการเลี้ยงดู โดยเฉพาะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คนที่ขุดเรื่องคร่ำครึเช่นนี้มากล่าวอ้างน่าจะรู้ดีว่ามีการสวาปามมูมมามกันขนาดไหน

คำถามประการต่อมา อะไรที่ทำให้ผบ.ทบ.ยอมรับไม่ได้กับคำว่าเผด็จการกับประชาธิปไตย จุดนี้ไม่ใช่เรื่องของการจุดไฟสร้างความแตกแยก หากแต่พฤติกรรมที่แสดงออกนับตั้งแต่รัฐประหาร 2557 มันชัดเจนจากผลของการกระทำว่า การปิดปากประชาชนรวมไปถึงสื่อมวลชนนั้น ถ้าเป็นประชาธิปไตยจะทำกันหรือไม่ โดยเฉพาะสื่อที่วันนี้ยังมีกฎหมายของเผด็จการไว้คอยเล่นงานอยู่

สิ่งที่ผบ.ทบ.เรียกร้องว่า ทำไมไม่เคารพกติกาแล้วไปสู้ในสภา เรื่องเหล่านี้ถูกชี้นำด้วยเกมการเมืองจากพวกนักการเมืองเดิม ๆ หรือซ้ายตกขอบทั้งสิ้นนั้น ถามว่าจริงหรือ ? กติกาที่กล่าวอ้างนั้น ถ้ามีใจเป็นธรรมอย่างแท้จริงคงดูออกว่ามันถูกร่างโดยใครแล้วเอื้อประโยชน์ให้ใคร ยิ่งเลยเถิดไปถึงการบอกว่าทำไมไม่ไปสู้กันในสภา แล้วฝ่ายที่ตัวเองถือหางอยู่ยอมรับกติกา มารยาท เรื่องของการแพ้ชนะเลือกตั้งหรือไม่

การกล่าวอ้างเสียงป๊อปปูล่าร์โหวต เป็นการฉายภาพชัดเจนอยู่แล้วว่าคนที่ผบ.ทบ.ยกมือหนุนอยู่นั้น (อย่ามาอ้างว่าเป็นกลาง) ไม่เคารพในกติกาและมารยาททางการเมือง ตามที่นักการเมืองเขายึดถือปฏิบัติกันมาช้า และยิ่งทำให้คนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้นไปอีกว่า การเคลื่อนไหวเวลานี้ก็สอดรับกับสิ่งที่ผู้นำเผด็จการเพิ่งดำเนินการไปด้วยการออกสารโจมตีกลุ่มที่เคลื่อนไหวล่ารายชื่อถอดถอนกกต. ด้วยข้อกล่าวหาเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน

เช่นนี้จะให้คนเชื่อได้อย่างไรว่าจะมีความเป็นกลางจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ใช่เฉพาะผบ.ทบ.เท่านั้น เมื่อสัปดาห์ก่อน บรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายมิใช่หรือที่ร่วมกันแถลงเรียกร้องนักการเมืองหยุดสร้างวาทกรรมสืบทอดอำนาจ และขอให้ประชาชนเชื่อใจและให้โอกาสกกต.แก้ไขข้อบกพร่อง ซึ่งต้องถามต่อไปว่านั่นใช่ธุระของกองทัพที่อ้างว่าเป็นมืออาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับการเมืองหรือไม่

อาการที่แสดงออกของทั้งผู้นำเผด็จการและผบ.ทบ.เวลานี้ คงอย่างที่ วัฒนา เมืองสุข โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก สิ่งที่นิสิต นักศึกษาและประชาชนติดตามทวงถามจากกกต. คือผลการนับคะแนนและวิธีการคำนวณผลการเลือกตั้งที่ไม่บิดเบือนเท่านั้น กลัวถูกประชาชนเทถึงกับเล่นกันแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบเลยเหรอ เว่อร์ไปหรือเปล่า มองมุมไหนไม่มีใครเห็นถึงความจำเป็นที่สองผู้ยิ่งใหญ่จะต้องเล่นบทกันถึงขนาดนี้

เอาที่เห็น ๆ และเป็นห่วงกันเลยสด ๆ ร้อน ๆ ก็กรณีวิธีการคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเพื่อให้ได้ “จำนวนส.ส.พึงมี” นั่นปะไร พูดกันไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งย้ำกันทั้งอดีตกรธ.และคนที่เกี่ยวข้องกับการเขียนกฎหมาย ทุกคะแนนเสียงจะไม่ตกน้ำโดยจะแปรเสียงจากบัตรใบเดียวไปเป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ผ่านการคิดตัวเลขที่กำหนดไว้ว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิหารด้วยตัวเลขส.ส. 500 คน ได้เท่าไหร่คือยอดของคะแนนที่จะนำไปคิดเป็นสัดส่วนส.ส. 1 คน

เมื่อตกผลึกกันว่า ถ้ามีคนไปใช้สิทธิจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ตัวเลขกลม ๆ ของคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคจะได้แล้วแปรเป็นส.ส. 1 คน น่าจะตกอยู่ที่ 70,000 ถึง 80,000 คะแนน รับรู้และเข้าใจกันตามนั้น แต่จู่ ๆ ไม่รู้ว่าไปคิดค้นสูตรใหม่มาจากไหน คะแนนหล่นลดระดับไปถึงขั้นที่ว่าพรรคได้เสียงมาแค่ 3 หมื่นเศษก็มีสิทธิได้ส.ส. 1 ที่นั่ง เช่นนี้หมายความว่าอะไร

ไม่เพียงเท่านั้น ขณะที่กกต.ยังไม่ได้ชี้แจงแถลงไขใด ๆ ก็ปรากฏคำอธิบายมาจากเนติบริกรฝั่งรัฐบาล วิษณุ เครืองาม อ้างว่าเพื่อให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย โดยมีการนำคะแนนที่เป็นเศษของการคิดส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ให้พรรคการเมืองต่าง ๆ แล้ว มาหารกันอีกรอบ 2 รอบ 3 เฮ้ย ! มันชวนให้เกิดคำถามในทันที คิดกันละเอียดยิบขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วมันจะมีมาตรฐานไว้ทำไม

กลายเป็นว่า เนติบริกรชี้ช่องทางคณิตศาสตร์ คิดคำนวณตัวเลขไว้เสร็จสรรพ เช่นนี้จะถือเป็นการชี้นำกกต.เปล่าไม่ทราบ แล้วกกต.จะชี้แจงอย่างไรไม่ให้เหมือนสิ่งที่มือกฎหมายของรัฐบาลบอกไว้ล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้ไง สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกกต.จึงออกมาเตือน 7 ลูกไล่กกต.ไว้ล่วงหน้าว่า คิดกันให้รอบคอบถ้าทำเพื่อเอาใจใครระวังติดคุกหัวโต ของพรรค์นี้มันพิสูจน์กันไม่อยากว่า สิ่งที่ทำเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของกกต.เพื่อไปสนับสนุนให้พรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งและสามารถตั้งรัฐบาลได้หรือไม่

โดยที่มีความเห็นมาจาก จาตุรนต์ ฉายแสง และน่าจะสะท้อนไปยังคนที่ตีโพยตีพายเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองเวลานี้ด้วยว่า ถ้าสำเหนียกตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็จะไม่ออกอาการจดน่าเกลียด นั่นเป็นเพราะกกต.ชุดนี้กำลังมีบทบาทสำคัญต่อการจัดตั้งรัฐบาล จะสอยใครมากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นกับกกต. ถ้ากกต.ทำงานแบบไม่ตรงไปตรงมา การปล่อยให้กกต.ทำงานกันไปโดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลก็เท่ากับยกให้กกต.เป็นผู้ตั้งรัฐบาล เช่นนี้จะไม่ให้เอ่ยถึงเผด็จการ ไม่พูดถึงการสืบทอดอำนาจอย่างนั้นหรือ

Back to top button