น้ำผึ้งหยดแรก หรือ ผลสะเทือนผีเสื้อ (จบ)
การพยายามสร้างกระแสล้มเจ้ามาโยงเข้ากับความไม่ชอบมาพากลในการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง อาจจะได้ผลบ้าง สำหรับกลุ่มคนที่เชื่อในความจงรักภักดีสถาบัน แต่คำถามตามมาคือการสาดโคลนใส่บุคคลบางคนในนามความจงรักภักดี ซึ่งถือเป็นอขันติธรรมที่เลวร้าย จะส่งผลลบอย่างไร เป็นความท้าทายในอนาคต
พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล
การพยายามสร้างกระแสล้มเจ้ามาโยงเข้ากับความไม่ชอบมาพากลในการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง อาจจะได้ผลบ้าง สำหรับกลุ่มคนที่เชื่อในความจงรักภักดีสถาบัน แต่คำถามตามมาคือการสาดโคลนใส่บุคคลบางคนในนามความจงรักภักดี ซึ่งถือเป็นอขันติธรรมที่เลวร้าย จะส่งผลลบอย่างไร เป็นความท้าทายในอนาคต
คำเตือนสติของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง (ที่เคยแสดงท่าทีชัดเจนว่านิยมพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน) ที่ระบุว่า ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีผู้นำสถาบันระดับสูงมากล่าวหาปลุกปั่น จนเกิดการแบ่งแยก เกลียดชัง ในที่สุด มีการรวมตัวของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมทำให้มีผู้ถูกทำร้ายและเสียชีวิตจำนวนมาก นำมาซึ่งการรัฐประหารในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อีกครั้งหนึ่ง
กระแสสังคมในโซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน ที่โจมตีเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล โดยนำสถาบันระดับสูงมาเกี่ยวข้อง จึงเป็นสิ่งที่น่าระวังและเป็นอันตรายต่อความสุขสงบและไม่เป็นผลดีต่อสถาบัน จึงมีเหตุผล แต่จะได้ผลหรือไม่ยากจะคาดเดา
คำพูดของพล.อ.อภิรัชต์ ที่สื่อนำมาลงนั้น มีความมุ่งร้ายต่อผู้ถูกกล่าวหาโดยตรง แม้จะไม่ระบุชื่อ “….ขอให้รักกันเถิด นำความรู้ระบอบประชาธิปไตยของเขามา ต้องดูด้วย ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนแปลง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่าเอาซ้ายจัดมา แล้วดัดจริต นี่คือแผ่นดินที่บรรพบุรุษ เสียเลือดเนื้อ วันนี้ผมพูดเยอะพูดแรง และขอฝากให้หยุดวาทกรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้สักที ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามครรลองใครไม่ดีก็ต้องพิสูจน์ด้วยงาน ด้วยฝีมือ ถ้าผมไม่ดี ผมก็ต้องถูกย้ายไป ฉะนั้นขอให้อยู่ในเกมใครเกมมัน เมื่อกรรมการตัดสินแล้ว ก็มาโทษกรรมการ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่มีวันจบ วัฏจักรแห่งการล้างแค้นไม่มีวันจบ”
หากมองย้อนหลังของความเคลื่อนไหวสร้างกระแสล้มเจ้า ที่มักจะตามมาด้วยการรัฐประหารหรือการกระชับอำนาจของกองทัพเหนือการเมืองไทย จะเห็นได้ว่า หลังการเลือกตั้งที่ผ่านไป ความคาดหวังของพวก “โลกสวย” ที่เชื่อว่า กองทัพจะถอยห่างจากการเมือง เริ่มเลือนรางออกไป
ปรากฏการณ์สร้างกระแสล้มเจ้า ด้วยเป้าหมายอะไรก็ตาม ย่อมหมายถึงการล้มล้างเจตจำนงของประชาชนที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่าง “หักดิบ” เกินจะรับได้
ผลลัพธ์ของคะแนนที่มวลชนได้ตัดสินใจหย่อนลงในกล่องบัตรเลือกตั้งที่ออกมา ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการที่บิดเบือนหรืออามิสปะปนอยู่ ก็ยังคงมีคุณค่ายืนยันว่าเสมือนเสียงปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้น เป็นการตบหน้าอำนาจสมคบคิดเบื้องหลังการรัฐประหารทั้งโดยตรงและจำแลง เป็นการยืนยันต่อพวกอนุรักษ์ที่ดื้อรั้นว่า สังคมกำลังหมุนเร็วรับการท้าทายใหม่ ๆ ในอัตราเร่ง ไม่มีทางจะขัดขวางไว้ได้
แม้ว่า คนมีอำนาจในการควบคุมกลไกรัฐ จะอ้างและดูเบาว่าเป็นแค่ “เสียงนกเสียงกา” ที่สามารถถูกลบล้างความกล้าหาญ 5 นาทีได้ แต่การดูเบาเสรีภาพและความยุติธรรมของพลังมวลชนที่ตื่นตัว อาจจะทำให้พวกเขาลืมนิทานเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวได้ง่ายเกินไป
นิทานดังกล่าว อาจจะไม่มีจริง แต่อย่าประมาทว่าจะไม่เกิดขึ้น
“….หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนมาชาวบ้านทุกคนต่างรักใคร่สามัคคีปรองดองกันด้วยดี
จนวันหนึ่งมีคนหาบน้ำผึ้งเดินผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ และบังเอิญทำน้ำผึ้งหยดลงพื้นดินหนึ่งหยด
จิ้งจกตัวหนึ่งคลานมาพบก็ตรงเข้าแลบเลียเป็นอาหาร แมวมาเจอจิ้งจกก็รีบกระโดดเข้าตะครุบ สุนัขเห็นแมวก็เข้ามาไล่กัด เจ้าของแมวเห็นสุนัขมากัดแมวของตนเลยเอาไม้ไล่ตี
เจ้าของสุนัขได้ยินเสียงร้องก็วิ่งออกมาดู พอรู้ว่าสุนัขของตนถูกไล่ตี จึงตรงเข้าชกต่อยเจ้าของแมว ญาติของเจ้าของแมวได้ยินเสียงการต่อสู้จึงรีบออกมาช่วย
ญาติฝ่ายเจ้าของสุนัขเห็นพรรคพวกของตนถูกทำร้ายก็ออกมาช่วยเช่นกัน
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด จากการใช้มือใช้ไม้กลายเป็นมีด ปืน และอาวุธชนิดต่าง ๆ
จนมีการบาดเจ็บล้มตาย ผู้คนในหมู่บ้านแบ่งฝ่าย เมื่อฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำจนเหลือกำลังน้อยกว่าก็ออกไปชักชวนญาติหรือ เพื่อน ๆ ของตนที่อยู่ต่างหมู่บ้านมาช่วย จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
กว่าเจ้าเมืองจะส่งคนมายุติศึกได้ ผู้คนก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จากการขาดยับยั้งชั่งใจ และไม่รู้จักการพิจารณาเหตุผล ….”
สังคมไทยในอนาคตอันใกล้ จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ ขึ้นกับกระแสล้มเจ้าจะเข้มข้นแค่ไหน