เกมแข่งมฤตยู
มีข้อมูลที่หัวร่อไม่ออกอยู่ข้อมูลหนึ่ง นั่นคือ ข้อมูลการส่งออกประจำเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงตัวเลขการส่งออกขยายตัวได้ถึง 5.9% และเกินดุลการค้าอยู่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
มีข้อมูลที่หัวร่อไม่ออกอยู่ข้อมูลหนึ่ง นั่นคือ ข้อมูลการส่งออกประจำเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงตัวเลขการส่งออกขยายตัวได้ถึง 5.9% และเกินดุลการค้าอยู่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ในไส้ในการส่งออกที่ขยายตัวได้เกือบ 6% นั้น กลับเกิดจากการส่งออกอาวุธที่นำมาใช้ในโครงการฝึกคอบร้า โกลด์อันเป็นระยะสั้น ซึ่งหากไม่มีปัจจัยพิเศษจากการส่งอาวุธคืนกลับนี้…
แทนที่การส่งออกจะขยายตัว 5.9% ก็จะกลายเป็นติดลบ 4.9% แทน ซึ่งก็ดูจะหดหู่พิลึก
คุณกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งออกเธอบอกว่า เป้าหมายการส่งออกที่ตั้งเป้าขยายตัวไว้ 5% คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ข้อเสนอจากประธานสภาผู้ส่งออกคือ เร่งให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพให้เร็ว และหวังให้รัฐบาลใหม่เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เป็นการแก้เกม
ความหวังว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพนี่สิ ยังน่าตั้งคำถามสงสัยตัวโต ๆ มาก ๆ
ส่วนทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยน.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการเผยว่าได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2562 ลงเหลือ 3.7% จากเดิมคาด 4%
แต่หากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ล่าช้ากว่าเดือนมิ.ย. หรือไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และการส่งออกขยายตัวได้ต่ำกว่า 2.5% เศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจเติบโตเพียง 3.2%
คุณณัฐพรยังระบุอีกด้วยว่า ไม่ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบไหน ก็ต้องเจอภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแน่
ครับ แม้ยังไม่นำปัจจัยการเมืองมาคิดคำนวณ เศรษฐกิจไทยต้อนรับรัฐบาลใหม่ ก็ค่อนข้างจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก ทั้งเศรษฐกิจภายในที่อ่อนแรงมาแต่ปีก่อน ๆ และภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
หากการเมืองไทยยุ่งเหยิง จัดตั้งรัฐบาลได้ล่าช้าหรือยืดเยื้อไม่มีกำหนด ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างไม่ต้องสงสัย!
ปัญหาใหญ่เวลานี้ก็คือ สูตรคำนวณจำนวนส.ส. จะใช้สูตรคำนวณใด ซึ่งตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ ก็จะใช้จำนวนบัตรดีทั้งหมด 35,532,647 ตั้ง แล้วเอาจำนวนส.ส.ทั้งหมด 500 คนหาร จะออกมาเป็นสัดส่วนส.ส.อันพึงมี 71,065.3 คน/1 ส.ส.
พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนเลือกตั้งมาแล้ว 7,920,630 คน ก็ได้จำนวนส.ส.อันพึงมี 111.45 คน แต่พรรคเพื่อไทยได้ส.ส.เขตไปแล้ว 137 คน ก็เลยไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว
อันนี้ก็ไม่ได้สงสัย ติดใจอะไร เพราะกติกาว่าไว้อย่างนั้น แม้จะดูทะแม่งที่ผู้นำพรรคระดับสูงสุด ไม่มีที่นั่งในสภา
หากคิดตามสูตรอันนี้ เสียงทางขั้วพรรคเพื่อไทย-อนาคตใหม่ แม้ไม่รวมอนาคตใหม่ 6 เสียงเข้ามา ก็จะควบแน่นอยู่ในระดับ 248 เสียง
ส่วนทางขั้วพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีคะแนนพรรคพลังประชารัฐยืนพื้นอยู่แล้ว 118 คน ต่อให้คิดรวมพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหมด ก็จะได้คะแนนเสียงแค่ 252 เสียงเอง
สูตรรัฐบาล 252:248 คงเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยตั้งแต่เริ่มตั้ง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ยังมีอีกสูตรหนึ่งโผล่ขึ้นมา ก็คือพรรคเล็กพรรคน้อย แม้จะได้คะแนนเสียงต่ำเกณฑ์ 71,066 คะแนน ก็จะมีโอกาสได้ส.ส. 1 คนด้วย ซึ่งตามสูตรนี้ จะมีพรรคที่มีส.ส. 1 เสียง เพิ่มขึ้นมาอีก 10 พรรค
สูตรนี้ พรรคใหญ่จะคะแนนลด เช่น พลังประชารัฐจะหายไป 2 และอนาคตใหม่จะหายไปถึง 7 คะแนน
ขั้วเพื่อไทย-อนาคตใหม่จะเหลือแค่ 241 และขั้วพล.อ.ประยุทธ์ก็จะกลายเป็น 259 ซึ่งก็ยังเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำอยู่ดี
สูตรคำนวณนี้ประหลาด อธิบายให้เข้าใจยาก และโผล่ขึ้นมาภายหลังผลเลือกตั้ง ปรากฏออกมาแล้ว แทนที่จะเป็นกฎกติกาที่กกต.แถลงไขไว้ชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง
แต่ถ้าจะเอาสูตรนี้กันจริงก็เชิญตามสบาย ตามกฎของผู้มีอำนาจกันต่อไปเถิด ขอให้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เพื่อจะได้ไม่เป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น