ข้อตกลงที่ดีแต่ฉาบหน้า
ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้อารมณ์ในตลาดหุ้นดีขึ้นทันตาเห็น และยังทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกปรับตัวขึ้นด้วย หลังจากที่ปรับตัวลงมานานเพราะเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น
รายงานพิเศษ
ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้อารมณ์ในตลาดหุ้นดีขึ้นทันตาเห็น และยังทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกปรับตัวขึ้นด้วย หลังจากที่ปรับตัวลงมานานเพราะเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจมากขึ้น
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมากกว่า 2% และพลอยพาตลาดหุ้นอื่น ๆ ในเอเชียปรับตัวขึ้นไปด้วยในวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่าจีนได้ยื่นข้อเสนอมากกว่าที่เคยเสนอมาก่อน เช่นเกี่ยวกับการโอนเทคโนโลยีโดยบีบบังคับ
ผลตอบแทนพันธบัตรอายุไถ่ถอน 10 ปีของสหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นเป็น 2.403% ในวันศุกร์ จากที่วันก่อนหน้ายังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือนที่ 2.352% และแทบจะดิ่งลงไม่หยุดหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐได้ออกมาแถลงในโทนที่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นักลงทุนได้เริ่มจับตาผลตอบแทนพันธบัตรอย่างจริงจัง นับตั้งแต่ที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีลดลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อวันศุกร์ที่ 22 มีนาคม มีการมองกันอย่างกว้างขวางว่าผลตอบแทนที่เปลี่ยนทิศทางเช่นนี้เป็นการบ่งชี้ว่าจะเกิดภาวะถดถอย
ข้อมูลสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีก็ชี้ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก โดยจีดีพีในช่วงไตรมาสสี่ที่ปรับตัวเลขใหม่ โตเพียง 2.2% จากที่ก่อนหน้านั้นอยู่ที่ 2.6%
มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในช่วงนี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ บอกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้สูญเสียพลังไปจำนวนหนึ่ง เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น โดยตั้งข้อสังเกตว่า บริษัท “บีเอ็นเอสเอฟ” ซึ่งเป็นบริษัททำทางรถไฟที่เบิร์กไชร์ถือหุ้นอยู่ กำลังส่งสัญญาณว่ามีการเติบโตลดลง แต่ปัจจัยตามฤดูกาล เช่น สภาพอากาศ ก็อาจทำให้ข้อมูลบางอย่างบิดเบือนได้
จิม โอนีล อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังชะลอตัวลง “อย่างแน่นอน” วิกฤติทั่วโลกบางอย่างอาจทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจจะหดตัว แต่ก็อาจจะไม่ถึงกับชี้ว่าจะเกิดภาวะถดถอย
โรเบิร์ต ชิลเลอร์ นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวมานาน และอัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างต่อเนื่อง อาจหมายถึงว่า สหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่พฤติกรรมของมนุษย์ทำให้ยากมากที่จะคาดการณ์เช่นนั้น
ถ้าดูจากความเห็นของสามคนนี้ ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่อาจจะชะลอตัวลงมากจนเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดขึ้น นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อมีข่าวเพียงแค่ว่าการเจรจาการค้ากับจีนคืบหน้า ตลาดหุ้นจึงเด้งดึ๋งทันที
อย่างไรก็ดี มีเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียว่า อย่าเพิ่งดีใจกันเกินเหตุ
สตีเฟน โรช อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเคยเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท มอร์แกน สแตนลีย์ เอเชีย ได้เตือนว่าการดีดตัวใด ๆ ที่เกี่ยวกับข่าวการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะหายวับไปอย่างรวดเร็วและเชื่อว่านักลงทุนจะต้องผิดหวังในท้ายที่สุด โดยแนะนำให้ทำกำไรอย่างรวดเร็วเพราะเมื่อฝุ่นตลบแล้ว จะเกิดการตระหนักว่าความสำเร็จในการเจรจาการค้าไม่ใช่ความสำเร็จตามปัจจัยพื้นฐานและความขัดแย้งจะยังคงอยู่
ความจริงแล้ว โรชได้โจมตีกลยุทธ์ของทรัมป์มานานแล้วที่ไปเก็บภาษีจีน โดยมองว่าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีความหมายต่อการค้าระหว่างสองประเทศ
การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รอบล่าสุดได้เริ่มขึ้นอีกครั้งในกรุงปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โรชมองว่า จีนน่าจะซื้อสินค้าเกษตร ถั่วเหลืองและพลังงานและสินค้าประเภทอื่น ๆ อีกเป็นเวลาหลายปี แต่นั่นก็ไม่น่าเพียงพอที่ควรจะทำให้นักลงทุนตื่นเต้นต่อไป
ในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ โรชมองว่า ความคืบหน้าส่วนใหญ่เป็นเรื่องการค้าทวิภาคี ซึ่งมีความน่าสนใจน้อยเพราะว่าจริง ๆ แล้วมันสะท้อนถึงความไม่สมดุลของเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ เอง เมื่อสหรัฐฯ บีบสินค้าจีน สินค้าเหล่านั้นจะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้นอย่างดีที่สุด ข้อตกลงที่ได้จึงเป็นเพียง “ข้อตกลงที่ดีแต่ฉาบหน้า”
แต่การได้ข้อตกลงยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย โรชคาดว่า จีนและสหรัฐฯ จะพบทางออกทางการค้าในเดือนนี้ แต่ไม่ใช่เพราะจีนรู้สึกว่าถูกบีบให้จนมุมเพราะเศรษฐกิจชะลอตัว ภาษีสหรัฐฯ ไม่ได้ทำให้จีนมีปัญหาเศรษฐกิจและเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จีนจะดำเนินมาตรการกระตุ้นทางการคลังเพียงพอที่จะจัดการกับภาวะซบเซาได้ แรงกดดันในด้านลบจะเกิดขึ้นชั่วคราวและจีนจะสามารถสร้างเสถียรภาพได้ และจากนั้นจีนจะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นอย่างช้า ๆ
เศรษฐกิจจีนก็คงเป็นอย่าง “หัวเหว่ย” แม้ว่าจะถูกกดดันจากสหรัฐฯ และพันธมิตรทั่วโลกอย่างไร กำไรในปีที่ผ่านมายังคงโตกระฉูด 25% ยอดขายยังพุ่ง 19.5% และทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ในที่สุดแล้วข้อตกลงการค้าที่ได้มา คงไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ รุ่งเรืองขึ้นมากดังที่ทรัมป์หวัง.