พาราสาวะถี
การเมืองก่อนช่วงเทศกาลหยุดยาว หากเป็นสถานการณ์ปกติทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอการไปพักผ่อน หลังจากชาร์จแบตเตอรี่กันเต็มตัวค่อยมาลุยกันใหม่ แต่ในบริบทปัจจุบัน นักการเมืองทั้งอาชีพและเพิ่งมาใหม่ ยังคงตั้งป้อมรบรากันด้วยวาทกรรม ขณะที่ผู้นำเผด็จการก็ท่องคาถาขอให้ทุกคนทำให้ประเทศชาติสงบเพื่อพระราชพิธีที่สำคัญของคนไทย ซึ่งเรื่องนี้ทุกคน ทุกฝ่ายต่างตระหนักกันเป็นอย่างดี ไม่ต้องให้ใครคอยมาชี้นำ
อรชุน
การเมืองก่อนช่วงเทศกาลหยุดยาว หากเป็นสถานการณ์ปกติทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอการไปพักผ่อน หลังจากชาร์จแบตเตอรี่กันเต็มตัวค่อยมาลุยกันใหม่ แต่ในบริบทปัจจุบัน นักการเมืองทั้งอาชีพและเพิ่งมาใหม่ ยังคงตั้งป้อมรบรากันด้วยวาทกรรม ขณะที่ผู้นำเผด็จการก็ท่องคาถาขอให้ทุกคนทำให้ประเทศชาติสงบเพื่อพระราชพิธีที่สำคัญของคนไทย ซึ่งเรื่องนี้ทุกคน ทุกฝ่ายต่างตระหนักกันเป็นอย่างดี ไม่ต้องให้ใครคอยมาชี้นำ
เรื่องสำคัญของคนไทยทั้งประเทศคืองานอันเกี่ยวข้องกับสถาบันสูงสุด ยิ่งเป็นพระราชพิธีที่ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันด้วยแล้ว ทุกครั้งเราจะได้เห็นความสมัครสมานสามัคคีชนิดที่คนต่างชาติเห็นแล้วต้องตะลึง เพราะสถาบันอันเป็นจุดศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาตินั้น ทุกคน ทุกฝ่าย ย่อมรู้กันด้วยใจอันจงรักภักดี ไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ส่วนบรรยากาศการเมือง ในเมื่อเลือกตั้งยังเป็นปัญหา อีแค่สูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ทั้งที่มีกฎหมายกำหนดไว้ชัด แต่ด้วยความที่ต้องการจะทำให้ผลไปเข้าทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือด้วยเจตนาใดก็ตาม เมื่อยังไร้ซึ่งความชัดเจนและเกิดการยึกยัก ทั้งที่กฎ กติกา สำหรับผู้เล่นมันต้องชัดเจนตั้งแต่ก่อนลงสนาม เมื่อกรรมการทำท่าว่าจะลำเอียง ย่อมเป็นธรรมดาที่ทั้งผู้เล่นและกองเชียร์ต้องออกมาโวยวาย
มิหนำซ้ำ ฝ่ายที่เคยยืนอยู่ตรงกลางไม่เข้าข้างใครยังอดรนทนไม่ได้ ต้องออกมากระตุกกันเป็นระยะ ถ้าปล่อยให้เดินกันไปเช่นนี้ มีแนวโน้มว่าหลังวันที่ 9 พฤษภาคมสถานการณ์ก็ยังคงไม่เข้าที่ และไม่รู้ว่าจะมีเหตุอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ ที่พูดไม่ได้หมายถึงความรุนแรงหรือการเข่นฆ่ากันของคนไทย เพราะมันน่าจะผ่านและเลยจุดนั้นไปแล้ว จากการเข้ามาของเผด็จการคสช.
ที่เป็นกังวลกันก็คือ หากยังเกิดภาวะเดดล็อกทางการเมือง คนที่เกี่ยวข้องจะช่วยผ่าทางตันกันอย่างไร ทางหนึ่งคือ หากพรรคสืบทอดอำนาจต้องการเดินหน้าต่อคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องไม่ใช่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งนั่นคือโจทย์ใหญ่ในเมื่อลงทุนลงแรงและอุตส่าห์เขียนกฎหมายเพื่อเปิดช่องเปิดทางกันขนาดนี้แล้วไม่ได้ไปต่อ จะยอมกันได้หรือไม่
ถ้าเป็นไปได้ ก็ยังมีโจทย์ต่อไปว่าแล้วพปชร.จะรวมเสียงส.ส.ได้เกิน 250 เสียงหรือไม่ เกินในที่นี้หมายความว่า ต้องไม่ปริ่มน้ำ เนื่องจากการเมืองที่ต่อสู้และชิงไหวชิงพริบกันตลอดเวลา หากอยู่รอดปลอดภัย เสียงส.ส.ต้องเกินจำนวนกึ่งหนึ่งไปไม่น้อยกว่า 20 เสียงขึ้นไป นั่นเท่ากับว่า ถ้าจะให้ได้จำนวนเท่านั้น กระบวนการต่อรองที่ต้องแลกกันด้วยเงื่อนไขมหาศาลยอมกันได้หรือไม่
เรียกได้ว่าโจทย์สำหรับการสืบทอดอำนาจนั้น จากที่คิดว่าง่ายพอเห็นปัจจัยแวดล้อมที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ได้หมูอย่างที่คิด ถ้าเช่นนั้น มาตรา 44 ที่อยู่ในมือของผู้นำเผด็จการ จะถูกงัดมาใช้เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะเลยไหม ตรงนี้ตอบยาก แม้จะทำให้ผู้มีอำนาจได้อยู่ต่อไปเรื่อย ๆ แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่ต้องการ และการเลือกตั้งใหม่ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ขณะที่แนวทางรัฐบาลแห่งชาตินั้น ห่างไกลและไม่มีทางเป็นไปได้ ยิ่งล่าสุด ผู้นำเผด็จการไล่ให้คนถามไปดูข้อกฎหมายทั้งที่มาของนายกฯ และรัฐบาล ถือเป็นการยืนยันว่าไม่มีทางที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังพูดเป็นนัยอีกว่าให้รอการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปได้
ลำพังผู้นำเผด็จการพูดอาจจะไม่มีประเด็นให้คิดต่อ แต่วันเดียวกันกระบอกเสียงพรรคสืบทอดอำนาจก็ประกาศชัดเจนหลังวันที่ 9 พฤษภาคม พรรคสืบทอดอำนาจจะสามารถจับมือกับพรรคการเมืองต่าง ๆ ตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน อาจจะดีในแง่ความมั่นอกมั่นใจของพวกที่จะดึงเข้ามาร่วม แต่ไม่น่าจะสู้ดีสำหรับฝ่ายที่คุมกติกา ยิ่งเวลานี้ยังเกิดคำถามและข้อกังขาเรื่องการคำนวณส.ส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้ไปกันใหญ่ในแง่ของความเชื่อถือ เชื่อมั่น
งานนี้ไม่ต้องคาดเดาอะไรมาก ทุกอย่างเป็นไปตามสูตรหวยล็อกคือ ต้องลากพรรคเล็ก 11 พรรคให้ได้ส.ส.พรรคละ 1 คนแน่นอน เพื่อเป้าหมายในการนำเสียงไปใช้ประโยชน์สำหรับการตั้งรัฐบาลของบางพรรคการเมือง ล่าสุด ก็ได้รับการการันตีจากสนช.ที่ชื่อ ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ย้ำสูตรคำนวณมีแค่สูตรเดียวนั่นก็คือ พรรคเล็กที่คะแนนหลุดเกณฑ์ต้องได้รับการจัดสรรเก้าอี้ส.ส.ด้วย
บอกไว้แล้วว่าเถียงกับคนหัวหมอไม่มีทางชนะ และไม่มีวันที่จะชนะแน่ถ้าคนที่นำไปปฏิบัติออกลูกดื้อตาใสเพราะยอมศิโรราบให้กับอำนาจเผด็จการ ส่วนใครที่คิดว่าสามารถใช้ช่องทางต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเล่นงานกับคนหัวหมอนั้นบอกได้เลยว่าคงยาก ฟังจากมือตรวจสอบอย่าง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แล้วไม่มีเครื่องมือใดที่จะไปเอาผิดได้แน่นอน
กล่าวคือ หลังจากไปตรวจสอบรายงานผลการพิจารณาร่างกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รายงานของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือกรธ. หรือรายงานของคณะกรรมาธิการสนช.ก็ไม่มีการกำหนดสูตรหรือวิธีการคำนวนไว้แต่อย่างใด อีกทั้งการตั้งตุ๊กตาเป็นตัวอย่างทั้งของกรธ.และสนช.ไม่มีบันทึกไว้ในข้อสังเกตของกรรมาธิการว่า ให้ถือเป็นแบบหรือตัวอย่าง จึงไม่ถือว่าเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมาย
เล่นแร่แปรธาตุกันมาแบบนี้นี่ไง จึงทำให้บางพวกบางฝ่ายมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่จะคำนวณกันออกมา ไม่ต้องพูดถึงรังวัดใด ๆ อีกแล้ว เพราะมันเสียจนไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป จึงต้องติดตามกันต่อ เมื่อเลือกที่จะเดินกันแบบนี้ โดยกติกาที่สามารถพลิกพลิ้วได้ตลอดเวลา คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าหนทางข้างหน้าประเทศจะไร้ซึ่งความขัดแย้ง
การเด้ง “บิ๊กโจ๊ก” พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ไม่ใช่แค่พ้นจากผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น แต่ถึงกับต้องไปนั่งตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี กรณีนี้ไม่ธรรมดา สาเหตุที่แพลม ๆ กันออกมาว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจนี่แหละ ส่วนจะเป็นไปในมุมไหนนั้นต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ขณะที่การลาป่วยของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการประชุมครม.วันวาน แม้จะอ้างว่าไม่ได้ป่วยการเมืองแต่สังคมคงเชื่อยากส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่าเพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องเด็กในคาถามากกว่า