พาราสาวะถี
บอกกันทุกครั้งย้ำกันทุกคราว รณรงค์กันมานานนับสิบ ๆ ปี กับเป้าหมายลดอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงเทศกาล แต่ตัวเลขสถิติต่าง ๆ ยังคงเป็นตัวบ่งบอกว่า คนไทยยิ่งในช่วงเทศกาลนั้นความสนุกสนานมาก่อนความปลอดภัย จิตสำนึกความรับผิดชอบกับเพื่อนร่วมทาง ความมีระเบียบ วินัยในการใช้รถใช้ถนน ยังห่างไกลกับปลายทางที่วางกันไว้
อรชุน
บอกกันทุกครั้งย้ำกันทุกคราว รณรงค์กันมานานนับสิบ ๆ ปี กับเป้าหมายลดอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงเทศกาล แต่ตัวเลขสถิติต่าง ๆ ยังคงเป็นตัวบ่งบอกว่า คนไทยยิ่งในช่วงเทศกาลนั้นความสนุกสนานมาก่อนความปลอดภัย จิตสำนึกความรับผิดชอบกับเพื่อนร่วมทาง ความมีระเบียบ วินัยในการใช้รถใช้ถนน ยังห่างไกลกับปลายทางที่วางกันไว้
เรื่องปลุกจิตสำนึก จำได้ว่ามีการเรียกร้องพร้อมเสนอแนะกันมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นเดินหน้าไปทางไหน มิหนำซ้ำ กฎ กติกาต่าง ๆ ก็เขียนก็ร่างกันมา โดยหวังที่จะกำราบพวกที่ไม่ปฏิบัติตาม แต่ทุกอย่างเหลวเป๋วไม่เป็นท่า เพราะปลายทางที่นำไปสู่ภาคปฏิบัติเล่นบทขยิบตาข้าง ใครจะเป็นอะไรช่างหัวมัน เราจึงยังได้เห็นภาพคนที่หวังดีและอยากให้ทุกเทศกาลปลอดอุบัติเหตุหรือมีให้น้อยที่สุด ยังต้องทำงานหนักกันต่อไป
อีกนั่นแหละ จะไปคิดอะไรมากกับการรณรงค์ที่ต้องอาศัยความร่วมมือ อันหมายถึงไม่ใช่การบังคับ แล้วจะมีคนปฏิบัติตาม ในเมื่อการปฏิรูปบ้านเมืองที่เขียนกฎหมายกันสวยหรู แถมมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นเครื่องมือในการกำกับสั่งการ โดยเฉพาะการปฏิรูปการเมืองยังล้มเหลวไม่เป็นท่า ต้นเหตุอยู่ที่ไหน หนีไม่พ้นกิเลส ตัณหา อยากมีอำนาจวาสนา จึงไม่คำนึงถึงวิธีการและความถูกต้อง
แค่การใช้พลังดูดไปดึงพวกนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวที่ผู้มีอำนาจเคยประจาน ก็เป็นหลักฐานประจานความไม่เอาไหนของการปฏิรูปแล้ว พอได้เห็นผลแห่งการจัดเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไป แทนที่จะทำให้ทุกอย่างชัดเจนแล้วประเทศเตรียมพร้อมเดินไปข้างหน้า กลับกลายเป็นได้ภาพการวิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียง จนทำให้เห็นภาพความขัดแย้งที่วางอยู่เบื้องหน้า แล้วถ้าทุกอย่างออกมาในทิศทางที่ทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่เป็นโปร่งใส ไร้ความเป็นธรรม สังคมจะอยู่กันอย่างไร
จะอยู่กันไปแบบถูลู่ถูกัง คอยแต่มีพวกเดียวกันคนกันเองออกมายกหาง อ้างว่าคนคนเดียวไม่โกง ทั้ง ๆ ที่ข่าวสารก็ประสานกันอยู่ทนโท่มีอะไรบ้างที่สาธารณชนเกิดข้อกังขา ในขณะที่กระบวนการตรวจสอบเป็นเพียงแค่ตราประทับฟอกขาวให้ผู้ที่ถืออำนาจใหญ่โต ประชาชนคนตรวจสอบแค่ขยับก็ถูกเล่นงานด้วยข้อกฎหมายสารพัด เช่นนี้หรือที่ภูมิใจกันนักหนาว่าไม่มีการโกง
คงไม่ต้องฟื้นฟอยหาตะเข็บ ลองให้โพลสำนักไหนหรือจะให้ส่วนราชการที่ทำโพลได้แม่น ๆ เหมือนกับตอนที่แจ้งผลสำรวจความเห็นเรื่องเลือกตั้งไปให้ผู้มีอำนาจรู้ตั้งแต่ก่อนหย่อนบัตรว่า พรรคสืบทอดอำนาจแพ้พรรคนายใหญ่ราบคาบแน่ ไปสำรวจความนิยมที่มีต่อองค์กรตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบดูบ้าง รับรองว่า ผลตอบรับกลับมาจะทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงตัวเองว่าเป็นกลาง เป็นธรรม หน้าชากันเป็นแถวทีเดียว
สูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์โดยกกต. ไม่ต้องรอไม่ลุ้นกันแล้ว ฟันธงไว้ตรงนี้ ตัดตัวแผ่อานิสงส์ไปถึง 11 พรรคเล็กล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่จำเป็นต้องถามหาคำอธิบายและไม่ต้องไปร้องให้องค์กรไหนวินิจฉัย ในเมื่อกระบวนการที่มาของสูตรนี้และวิธีคิดที่วางไว้ให้ดิ้นได้ ยิ่งไม่มีเอกสารแสดงเจตจำนงของกฎหมายด้วยแล้ว วิธีการที่จะทำให้เอื้อสำหรับบางพรรคได้เป็นรัฐบาลจึงคล่องปร๋อ
ไม่ต้องไปถามถึงความเป็นธรรมใด ๆ จากคนบังคับใช้ เพราะลำพังตัวเองยังไม่เป็นอิสระ ถูกกดขี่กดทับด้วยอำนาจวิเศษ เมื่อความกลัวมันขึ้นสมอง ใครจะเลือกเสี่ยงต้องเสียเก้าอี้ที่อยู่กันได้ยาว ๆ แลกกับการรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ชนชั้นใดเขียนกฎหมายก็เป็นไปเพื่อชนชั้นนั้น นี่คือความจริงแท้แน่นอน ระดับเนติบริกรปลาไหลใส่สเกต เซียนขนาดไหนก็ไม่มีทางจับได้ไล่ทัน ยิ่งได้อำนาจเผด็จการหนุนหลังอีกต่างหาก ทุกอย่างจึงสบายบรื๋อ
อย่างไรก็ตาม จากเดิมแผนการรบที่วางไว้ต่อกรกับพรรคนายใหญ่และแนวร่วม แต่หลังเลือกตั้งสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว กระแสของพรรคอนาคตใหม่ การเคลื่อนไหวของนักศึกษาและนักวิชาการ เป็นแนวรบใหม่ที่เผด็จการสืบทอดอำนาจต้องพลิกตำราเปลี่ยนแผนการรบกันใหม่ กรณีคดีความของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ฉายภาพได้ชัด
ขณะที่แนวร่วมฝ่ายนักวิชการและปัญญาชน ก็เปิดหน้าท้าชนกับองค์กรอิสระอย่างกกต. จากกรณีล่าชื่อถอดถอน จนถูกองค์กรแห่งนี้ฟ้องร้องดำเนินคดี วันนี้จึงชูธงสู้กันด้วยประเด็นความไม่ไว้วางใจ รวมไปถึงองค์กรอิสระกำลังทำลายสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ที่ล่าสุด เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองหรือคนส.ลงชื่อ 121 รายไปยื่นร้องต่อกกต.
มี 2 กรณีคือ เรียกร้องให้กกต.ยุติการดำเนินคดีกับประชาชนที่ร่วมลงชื่อ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. และแชร์แคมเปญถอดถอน กกต. จากเว็บไซต์ Change.org พร้อมยื่นรายชื่อ 121 นักวิชาการที่ได้ร่วมลงชื่อ และแชร์แคมเปญถอดถอนกกต. เพื่อแสดงเจตจำนงว่า นักวิชาการพร้อมเคียงข้างประชาชน และพร้อมหากจะต้องถูกกกต.ฟ้องร้องดำเนินคดีนี่คือการเปิดหน้าท้าทายเต็มที่
อีกประการ เรียกร้องให้กกต.เปิดเผยคะแนนเลือกตั้งรายหน่วยทั่วประเทศ ให้กกต. ดำเนินการคำนวนที่นั่งส.ส.ระบบบัญชีรายชื่ออย่างเป็นธรรม และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่การต่อสู้กับเผด็จการอีกต่อไปแล้ว หากแต่ไหลลามไปถึงองค์กรอิสระที่ถูกมองว่าตกเป็นเบี้ยล่างของขบวนการสืบทอดอำนาจ เมื่อใดก็ตามที่ชนชั้นปัญญาชนเริ่มขยับมันเหมือนสัญญาณในอดีตส่งเตือนแล้วให้ผู้มีอำนาจและองคาพยพพึงตระหนัก ถ้ายังดันทุรังกันต่อไปหายนะอาจรออยู่เบื้องหน้า
ในฐานะอดีตนักการทูตจึงทำให้คำพูดของ ดอน ปรมัตถ์วินัย ที่วันนี้สวมหัวโขนรัฐมนตรีต่างประเทศรัฐบาลเผด็จการ ฟังดูมีน้ำหนักกระมังเรื่องตำหนิตัวแทนทูตสังเกตการณ์คดีธนาธร พร้อมมีการเชิญคนทั้งหมดไปปรับทัศนะคดี เอ๊ย!คุยเรื่องมารยาทและจรรยาบรรณ ส่วนผู้นำเผด็จการถึงขั้นหลุดว่า “ใช่ทูตจริงหรือเปล่าไม่รู้” ถ้าคิดว่าถูกต้องเหมาะสมก็ทำไป แต่ถ้าเป็นเพียงแค่แอ็กชั่นเพื่อแก้เก้อ เพราะทำให้คณะรัฐบาลตัวเองเสียหน้า งานนี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน หรือมันไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว