พาราสาวะถีอรชุน
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรกับคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่บ่นเรื่องเป็นประชานิยมและทำให้หลายโรงพยาบาลเจ๊งไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องปกติของคนที่บ่มีไก๊ ไร้ปัญญาในการบริหารจัดการงบประมาณ ที่ผ่านมา ถนัดแต่เสนอขอและใช้อย่างเดียว พอมาดูทั้งระบบในภาวะที่หาเงินเข้าประเทศไม่ได้ไปไม่เป็นจึงมองทุกอย่างเป็นปัญหา
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรกับคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่บ่นเรื่องเป็นประชานิยมและทำให้หลายโรงพยาบาลเจ๊งไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องปกติของคนที่บ่มีไก๊ ไร้ปัญญาในการบริหารจัดการงบประมาณ ที่ผ่านมา ถนัดแต่เสนอขอและใช้อย่างเดียว พอมาดูทั้งระบบในภาวะที่หาเงินเข้าประเทศไม่ได้ไปไม่เป็นจึงมองทุกอย่างเป็นปัญหา
กับคำพูดเดิมๆ ที่ได้ยินตลอดเวลานับตั้งแต่รับตำแหน่งคือ คนไทยเอาแต่ร้องขอ ขอกันเป็นร้อยเรื่องพันเรื่องจะให้ได้ทุกเรื่องได้อย่างไร เป็นภาพสะท้อนของคนที่มาจากระบบราชการได้ดิบได้ดีเพราะมีอาวุโสเป็นตัวนำ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากทีมเศรษฐกิจที่มุ่งแต่จัดเก็บภาษีโน่นนี่นั่นเพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้บริหารประเทศ โดยไม่มีวิธีการอื่นที่จะหาเงินมาใช้งาน
หมดสิ้นหนทางแม้กระทั่งไปขอกู้เงินจากกองทุนประกันสังคมเพื่อมาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หมดหนทางแม้กระทั่งไปขอยืมเงินจากกองทุนสื่อของกสทช.เพื่อนำไปใช้ในโครงการแก้ปัญหาน้ำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไร้เครดิต หรืออีกด้านคือเป็นความมีอคติที่จะต้องไม่เดินตามรอยรัฐบาลที่ผ่านมาจะด้วยความกลัวเสียหน้าเสียฟอร์มหรืออย่างไรก็ตามแต่
ว่ากันเฉพาะประเด็น 30 บาท หากท่านผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเห็นว่าเป็นประชานิยม ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ก็ให้ประกาศเลิกไปเสียเลย ไม่ต้องมาแทงกั๊กยักแย่ยักยันเหมือนอย่างที่ทำอยู่ แต่ความจริงก็รู้ทั้งรู้ นี่คือโครงการที่ต่างประเทศให้การยอมรับในจำนวนไม่กี่อย่างที่รัฐบาลประเทศไทยเคยทำ เป็นโครงการที่ถือเป็นแบบอย่างในการเข้าถึงระบบบริการด้านสุขภาพของคนทุกระดับ
ส่วนต้นทุนในการดูแล ที่ท่านบ่นดังๆ ว่าต่อหัวมันน้อยเกินไปนั้น หากเป็นคนมีฐานะอาจคิดเช่นนั้นได้ เพราะทั้งชีวิตไม่เคยเดือดร้อนในการที่จะต้องเข้ารับการบริการด้านสุขภาพ สิ่งสำคัญคือ ท่านไม่เข้าใจคำว่าถัวเฉลี่ยหรืออย่างไร เงื่อนไขในการให้บริการมันก็มีอยู่แล้ว คนไทยทั้งหมดเอาเฉพาะที่ยากจน ไม่มีเงินจะไปรักษา ถามว่าเจ็บป่วยกันทุกคนตลอดเวลาและต้องไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลอย่างนั้นหรือ
สิ่งที่เป็นอยู่คือ การเปิดทางให้คนยากไร้ได้มีโอกาสเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลได้มากขึ้น กล้าที่จะไปหาหมอในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องยอมอดทนจนใกล้จะตายแล้วจึงต้องไปโรงพยาบาลเหมือนที่ผ่านมา การมองอะไรด้านเดียวในมุมของผู้มีอันจะกินหรือนั่งบริหารในห้องแอร์ มันก็แย่อยู่อย่างนั้น ย้ำอีกครั้งหากมันเลวร้ายจริงในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจเต็มขอให้ประกาศยกเลิกในวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย
เหมือนอย่างที่อดีตปลัดสาธารณสุข นายแพทย์มงคล ณ สงขลา เคยเตือนไปเมื่อวันก่อน ให้ดึงสติมาอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วมองปัญหาอย่างรอบด้าน ไม่มัวแต่ก้มหน้าฟังรายงานจากพวกสอพลอหรือมีจิตใจคับแคบ แล้วท่านจะเห็นโลกกว้างเห็นทางสว่างในการแก้ปัญหาที่ถูกจุด ไม่ใช่เฉพาะกรณีนี้ แม้แต่ปัญหาความขัดแย้งที่ตั้งเป้าจะปฏิรูปก็ตามที หากเป็นอย่างที่เห็นยังไงเสียมันก็“เสียของ” อยู่วันยังค่ำ
เช่นเดียวกันกับมิติทางการเมืองและความมั่นคง ซึ่งย้ำมาโดยตลอดว่าด้วยอำนาจและกฎหมายพิเศษคงไม่มีใครที่จะทำลายรัฐบาลนี้ลงได้ แต่ใช่ว่าอำนาจพิเศษนั้นจะสามารถกดทับพลังของกลุ่มคนที่เรียกร้องถามหาประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพได้อย่างแนบสนิท การจับกุม 14 นักศึกษากลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ คือปัญหาหนักอกที่ผู้มีอำนาจไม่รู้จะแก้อย่างไร
การยกข้ออ้างว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายนั้น มันฟังไม่ขึ้น เห็นได้จากข้อเรียกร้องของบรรดาอาจารย์จำนวนหลายร้อยคนที่ร่วมลงชื่อและหมุนเวียนกันไปเยี่ยมนักศึกษาถึงในคุก ตามมาด้วยแถลงการณ์ขององค์กรระหว่างประเทศอีกหลากหลายที่เป็นไปในลักษณะเดียวกัน นี่คือภาพสะท้อนของการไม่ยอมรับอำนาจที่ไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตย
แม้บิ๊กตู่จะพูดจนปากเปียกปากแฉะว่ารู้ที่มาของตัวเอง ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะการยอมรับต่ออำนาจที่ได้มาโดยไม่ปกตินั้น ยิ่งต้องระมัดระวังในการใช้อย่างยิ่งยวด แต่นับวันกลับเป็นไปในทางตรงข้าม ยิ่งอ้างกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ยิ่งเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการเหล่านั้นลงไปเรื่อยๆ เพราะมันปราศจากการยอมรับ
คนบางคนบางพวกที่ออกมาอ้างหลักการ ยกมือสนับสนุนการกระทำของผู้มีอำนาจ เมื่อมองไปยังจุดที่คนเหล่านั้นยืนอยู่มันก็เป็นพวกที่ได้อำนาจมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารทั้งสิ้น ดังนั้น การยอมรับมันจึงไม่เกิดทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุด การที่กสทช.เรียกผู้บริหารไทยพีบีเอสเข้าชี้แจงต่อกรณีการนำเสนอข่าวกลุ่มนักศึกษาถูกจับกุม ยิ่งเป็นการเติมภาพความเลวร้ายของการใช้อำนาจเข้าไปอีก
สิ่งนี้ยืนยันจาก สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกสทช.ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ย้ำถึงการเรียกไทยพีบีเอสเป็นการฟ้องว่า ตอนนี้ฝ่ายผู้มีอำนาจกังวลกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาแม้จะดำเนินการกันอย่างสงบก็ตาม ถึงขั้นมีการตัดสินใจจับกุม แต่กสทช. ควรตั้งหลักถ่วงดุลให้เสรีภาพสื่อบ้าง ไม่ใช่อ้างเหตุผลขัดความมั่นคง จนพูดไม่ได้ รายงานไม่ได้
ที่ตรงสุดๆ คงเป็นการฉายภาพสภาพการณ์เรื่องสิทธิเสรีภาพที่เป็นอยู่เวลานี้ มันถูกจำกัดมากอยู่แล้ว ถ้ายิ่งจำกัดมากไปกว่านี้มันจะไม่ดีทั้งต่อกสทช. รัฐบาลและสังคมไทยเองในที่สุด พร้อมๆ กับชี้ทางสว่าง เราควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์กันให้มาก ใช้เหตุผลกันให้มาก ตั้งสติกันให้มาก หากไม่ใช่นักเคลื่อนไหวมาก่อน คงไม่สามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ขนาดนี้
ที่เคยโม้ว่าบริหารประเทศไม่เห็นยากตรงไหนนั้น คงรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งหัวใจแล้วว่าเป็นอย่างไร บทเรียนอีกประการผู้มีอำนาจจะต้องศึกษาจากรัฐบาลในอดีตคือ อย่าเก่งแต่สร้างวาทกรรม ความอดทนของคนนั้นมีจำกัด ยิ่งปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนมีมากขึ้นเท่าไหร่ อำนาจที่ถืออยู่ในมือนั้นจะยิ่งเสื่อมลงได้มากเท่านั้น