พาราสาวะถี
บางทีความสุดโต่งหากมีหลักและยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ตัวเองยึดถือ มันก็ยังพอที่จะทำให้สังคมมองเห็นได้ว่าตัวตนของคนคนนั้นเป็นอย่างไร แต่ประเภทสุดโต่งไม่มีจุดยืนไหลลื่นตามกระแส เพราะอคติและความเกลียดชัง มันจึงทำให้ยิ่งใช้ต้นทุนทางสังคมที่ตัวเองมีจุดกระแสใดขึ้นมาอย่างไร เมื่อถูกอีกฝ่ายที่ยึดมั่นในหลักการโต้กลับจึงทำให้เสียศูนย์ได้ง่าย ๆ
อรชุน
บางทีความสุดโต่งหากมีหลักและยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ตัวเองยึดถือ มันก็ยังพอที่จะทำให้สังคมมองเห็นได้ว่าตัวตนของคนคนนั้นเป็นอย่างไร แต่ประเภทสุดโต่งไม่มีจุดยืนไหลลื่นตามกระแส เพราะอคติและความเกลียดชัง มันจึงทำให้ยิ่งใช้ต้นทุนทางสังคมที่ตัวเองมีจุดกระแสใดขึ้นมาอย่างไร เมื่อถูกอีกฝ่ายที่ยึดมั่นในหลักการโต้กลับจึงทำให้เสียศูนย์ได้ง่าย ๆ
กรณีนักร้องดังโพสต์ตอบโต้จนพาลไปถึงบุพการีของคู่กรณีที่เป็นพิธีกรชื่อดัง ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก การตั้งคำถามไปถึงพ่อของอีกฝ่ายชนิดที่ยกหางพ่อของตัวเอง แสดงให้เห็นถึงการเหยียดหยาม ถือยศถืออย่าง เป็นพวกที่ยกตนข่มท่านอย่างชัดเจน แน่นอนว่า คนประเภทนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของสังคมส่วนใหญ่ เนื่องจากแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด
สุดท้ายก็สะท้อนกลับไปยังท่วงทำนองการขับเคลื่อนของตัวเองที่ผ่านมา เพราะเชียร์ฝ่ายเผด็จการถือหางผู้นำรัฐประหาร เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการขึ้นเวทีปรี๊ดปี้ปรี๊ด แต่พอเจอคนจริงที่ย้ำในเรื่องหลักการ เถียงคนบนจุดยืน จึงยากที่จะตอบโต้ได้ ในเมื่อตัวเองไม่มีหลักยึดเกาะใด ๆ กลายเป็น “พวกกระจอก” เหมือนอย่างที่ “บก.ลายจุด” สมบัติ บุญงามอนงค์ เอ่ยถึง คือมีแต่หลักกูไร้หลักการ พอจนมุมก็วิ่งโร่ยกเอาความดีความชอบของพ่อตัวเองในอดีตมาข่มคนอื่น นิสัยแบบนี้มันเหมาะสำหรับทารกไร้เดียงสาเท่านั้น
แต่เชื่อเถอะว่าคนประเภทนี้ไม่มีสำเหนียกสำนึกอะไรหรอก แค่กลับไปตั้งหลักหลังจากถูกกระแสสังคมกดดัน อีกไม่กี่วันหลังจากไปค้นหาข้อแก้ตัวได้ก็จะออกมาเอาสีข้างเข้าถู ถือเป็นความน่าอดสูอย่างยิ่งกับพวกที่จมปลักอยู่กับความเกลียดชัง และขลุกอยู่กับพวกที่พูดเรื่องเท็จให้กลายเป็นเรื่องจริง จนมาถึงวันนี้ที่อ้างว่าปฏิรูปกันแล้ว ก็ยังงมโข่งกันอยู่อย่างนั้น
ตัวอย่างมีให้เห็นแบบจะจะ ปฏิรูปการเมืองแค่เรื่องเดียว ถ้าไม่โกหกตัวเองลองไปถามหัวหน้าม็อบนกหวีด นี่คือการเมืองที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ต้องการแล้วใช่ไหม หากคำตอบว่าใช่ก็ถือเป็นการโกหกคำโตอีกรอบ การที่ใช้พลังดูดดึงพวกนักการเมืองน้ำเน่า ที่เห็นกันอยู่ว่าเป็นนักการเมืองประเภทไหนไปอยู่ใต้ชายคา ด้วยเป้าหมายเดียวคือกลับมาสืบทอดอำนาจให้ได้ เท่านี้ก็เป็นหลักฐานมัดแน่นแล้วว่า หาได้มีการปฏิรูปใด ๆ ไม่
แม้กระทั่งหัวหน้าเผด็จการเองที่ก่อนหน้าจะประกาศตัวเป็นนักการเมือง ไปเวทีไหนไม่เคยพลาดวาทกรรมซ้ำซากคืออย่าเลือกแบบเดิมแล้วจะได้แบบเดิม พอพรรคการเมืองที่ชูตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกฯ ใช้วิธีสามานย์ไปดึงนักการเมืองที่เคยถูกด่าว่าชั่วว่าเลวมาร่วมสังกัด ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยมีประโยคเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากหัวขบวนเผด็จการอีกเลย นี่ก็เป็นการรับสภาพหรือละอายแก่ใจอีกประการ ความอยากมีอำนาจมันบดบังทุกสิ่ง
ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองโจมตีนักการเมืองนับตั้งแต่ก้าวขาสู่อำนาจ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ติดหล่มทางการเมือง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากกับดักของเนติบริกร ที่สุดท้ายก็กลายเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ พอจะไปถามหาความรับผิดชอบจากใคร ก็ได้แต่โยนกลองกันไปมา เอาเฉพาะเรื่องเลือกตั้งอย่างที่หลายคนว่า สถาปนิกกฎหมายออกแบบแล้วไม่รับผิดชอบกลายเป็นกกต.ต้องมารับอุจจาระแทน
แต่หากประมวลจากพฤติกรรมที่ผ่านมาขององค์กรอิสระที่ต้องบริหารจัดการเลือกตั้งทั้งระบบ น่าจะพูดกันได้แบบเต็มปากว่าเป็นความเต็มใจที่จะรับเผือกร้อนเหล่านั้น ถ้ายืนด้วยลำแข้งและแสดงจุดยืนอันเป็นจุดแข็งขององค์กรและตัวคณะผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ต้องกล้าที่จะจัดการทุกเรื่องอันเป็นอำนาจเต็มของตัวเองอย่างเด็ดขาดและชัดเจน
เห็นกันเต็มตาก็กรณีคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หากไม่มีเรื่องอื่นมาเจือปน ยึดเกณฑ์คะแนนเฉลี่ย 71,000 เสียงแปรเป็นส.ส. 1 คนของทุกพรรคการเมือง เรื่องก็ไม่บานปลายจนต้องแจ้นไปหาข้อสรุปจากศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนให้หรือไม่ อย่าได้ไปอ้างประเด็นคะแนนเสียงตกน้ำ คำถามง่าย ๆ ถ้าลองไปถามหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหลายก่อนเลือกตั้ง คะแนนเสียงที่จะทำให้ได้ส.ส.อยู่ที่เท่าไหร่ เชื่อได้เลยว่า ไม่มีใครหน้าไหนบอกว่าต้องอย่างน้อย 3-4 หมื่นแม้แต่รายเดียว
ความจริงอย่างที่บอกมาตลอด ไม่มีที่ใดในโลกที่ผู้เล่นจะกระโดดลงสนามโดยที่กติกายังไม่ชัดเจน และคงไม่มีกรรมการหรือองค์กรที่ต้องตัดสินความถูกผิด จะมาคิดกติกาเอาหลังจากการแข่งขันเสร็จสิ้น ตรรกะทั้งหลายไม่ว่าจะใช้อดีตกรธ.หรือสนช.ตรายางมาช่วยค้ำยันอย่างไร มันก็ไร้ซึ่งการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ทั้งสิ้น สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่มันส่อสะท้อนถึงทิศทางการโกงสะบัดทั้งนั้น ดีที่ว่าจนถึงเวลานี้ 66 เขตที่จ่อจะให้ใบส้มก่อนหน้ายังไม่มีการเคาะกันออกมา
ว่ากันว่าเดิมทีจะเล่นงานกันให้สะเทือนเลื่อนลั่น แต่พอได้เห็นสัญญาณทางการเมืองที่ถูกส่งผ่านผลการเลือกตั้ง รวมไปถึงแนวโน้มนายกรัฐมนตรีคนนอกที่ไม่ใช่รัฐบาลแห่งชาติ และไม่ใช่คนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา แผนการจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นการหยั่งเชิง วัดกระแส แน่นอนว่าแนวโน้มที่จะฟันก่อนแล้วรับรองผลอย่างเป็นทางการ ถูกเปลี่ยนเป็นรับรองก่อนแล้วค่อยสอยทีหลัง
การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน เพราะถ้าทุกอย่างแน่เหมือนแช่แป้ง ป่านนี้พรรคสืบทอดอำนาจก็ประกาศชัยชนะ จับมือสารพัดพรรคตั้งรัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เห็นเวลานี้ไม่ใช่แค่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่จับมือกันแน่น แต่บางพรรคที่แทงกั๊กด้วยราศีส่วนตัวของหัวหน้าพรรคมันดูผุดผ่องกว่าใครเพื่อน สถานการณ์การเมืองว่าด้วยผู้นำรัฐบาลจึงมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า “ตาอยู่” จะมาคว้าพุงปลาไปกิน
ส่วนพรรคที่ต้องเลิกกั๊กเพราะถูกพวกเดียวกันเองไปร้องกกต.ให้ยุบคือเศรษฐกิจใหม่ของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ศุกร์ที่ผ่านมาตั้งโต๊ะแถลงเรียบร้อยชัดเจนสองเรื่อง ไม่ร่วมพปชร.และไม่หนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ สำหรับเรื่องคนนอกครอบงำพรรคตามที่อดีตผู้สมัครส.ส.ไปร้องกกต.นั้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะคนที่ถูกพาดพิงเป็นสมาชิกพรรคจึงไม่ใช่คนนอก สงสัยคงต้องสื่อสารกันภายในให้ชัดเจน มิเช่นนั้น จะกลายเป็นอีกหนึ่งพรรคตำบลกระสุนตกที่ถูกมองด้วยสายตาเคลือบแคลงว่ากำลังเล่นเอาล่อเถิดกันอยู่