พาราสาวะถี

การเมืองเรื่องวิวาทะและวาทกรรมสัปดาห์นี้น่าจะเพลา ๆ กันไปบ้าง เนื่องจากคนไทยทุกคนใจจดจ่อกับพระราชพิธีที่สำคัญ หลังจากนั้นค่อยกลับมาซัดกันนัวเนียและน่าจะหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม เพราะ 9 พฤษภาคมคือเดดไลน์ที่กกต.ยืนยันจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 หมายความว่า พรรคไหนได้คะแนนเสียงเท่าไหร่ ใครจะจับมือใคร พวกแทงกั๊กก็จะแสดงตัว  เลือกอยู่ข้างพวกสืบทอดอำนาจหรือยืนฝ่ายตรงข้าม


อรชุน

การเมืองเรื่องวิวาทะและวาทกรรมสัปดาห์นี้น่าจะเพลา ๆ กันไปบ้าง เนื่องจากคนไทยทุกคนใจจดจ่อกับพระราชพิธีที่สำคัญ หลังจากนั้นค่อยกลับมาซัดกันนัวเนียและน่าจะหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม เพราะ 9 พฤษภาคมคือเดดไลน์ที่กกต.ยืนยันจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 หมายความว่า พรรคไหนได้คะแนนเสียงเท่าไหร่ ใครจะจับมือใคร พวกแทงกั๊กก็จะแสดงตัว  เลือกอยู่ข้างพวกสืบทอดอำนาจหรือยืนฝ่ายตรงข้าม

ที่แน่ ๆ งานหนักยังไม่พ้นไปจากบ่าขององค์กรอิสระที่เต็มไปด้วยข้อกังขาอย่างกกต. ก่อนหน้านั้นคาดหวังกันว่าจะได้เห็นการสอยว่าที่ส.ส.ให้เรียบร้อยก่อนรับรอง สุดท้ายก็อย่างที่เห็นทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระแวดระวังค่อนข้างหนักไปในทางกลัวเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่ความกลัวว่าคนจะตั้งปุจฉาต่อความโปร่งใสในการทำงานของตัวเอง เป็นความกลัวผลแห่งอำนาจวิเศษที่จะมีผลต่อตำแหน่งของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

พอจะเข้าใจได้ในเมื่อผลมันมีให้เห็นมาแล้วจากกรณี สมชัย ศรีสุทธิยากร กล้ามาก ม.44 ก็ถูกงัดมาอัปเปหิพ้นเก้าอี้ทันทีทันใด แต่นั่นมันเป็นเรื่องของคนที่ยังไงเสียก็ไม่ได้ไปต่อเพราะผลแห่งกฎหมายได้เซตซีโร่ 5 เสือกกต.คณะนั้นไปก่อนหน้าที่สมชัยจะถูกลงโทษแล้ว ขณะที่กกต.ชุด 7 คน แม้จะมีที่มาจากองคาพยพของปลายกระบอกปืน ทว่าสามารถที่จะยืนหยัดสร้างศรัทธาด้วยความเที่ยงธรรมและตรงไปตรงมา

ถ้าจำกันได้กกต.ชุดก่อนสมชัย คนเหล่านั้นก็กำเนิดมาจากผลพวงแห่งการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนาหู แต่สุดท้ายก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าผลแห่งการทำงานเป็นที่ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง โดยมีข้อกังขาเรื่องการเลือกปฏิบัติสำหรับพรรคการเมืองบางพรรคเท่านั้นที่เป็นแผลติดตัว ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าด้วยเหตุใดจึงเกิดภาพเช่นนั้น

การจับมือของพรรคการเมืองว่าด้วยเรื่องตั้งรัฐบาล เพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทยไปเมื่อวันอาทิตย์ ซีกประชาธิปไตยยังยืนยัน 7 พรรคที่ได้ประกาศปฏิญญาแลงคาสเตอร์ไปเมื่อ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ยังจับมือกันเหนียวแน่น นั่นหมายความว่า โอกาสที่จะเกิดงูเห่าจากฝ่ายนี้คงยาก มีทางเดียวที่คะแนนเสียงจะลดคือ การถูกลงโทษจากเหตุร้องเรียนและการคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่กำลังลุ้นผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะพิจารณาเรื่องดังว่าในวันพรุ่งนี้

หากเข้าสูตรเกลี่ยคะแนนไปให้ 11 พรรคเล็ก หายวับไปกับตาแน่ ๆ 7-8 เก้าอี้ก็คืออนาคตใหม่ ที่วันก่อน ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคเพิ่งประกาศยืนยัน พรรคไร้งูเห่าสีส้มแน่นอน กลายเป็นว่าถ้ายึดตามกระบวนการปกติ โอกาสที่เสียงจะหายของฝ่ายที่ประกาศจับมือกันนั้นเป็นไปได้น้อย แต่ในภาวะไม่ปกติโอกาสพลิกผันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เมื่อกติกาถูกทำให้เป็นเรื่องอคติของ(พวก)กู ตีความข้อกฎหมายชนิดที่เต็มไปด้วยข้อกังขา โดยที่อีกฟากฝั่งก่อนเลือกตั้งแสดงความมั่นใจสุดขีด พอผลเลือกตั้งออกมาทำเอาเหี่ยวกันไปไม่น้อย แต่ยังย้ำแข็งขันตั้งรัฐบาลได้แน่ มันจึงเป็นที่มาของความไม่มั่นใจว่า กลไกที่จะนำไปสู่การประกาศผลเลือกตั้งนั้น จะมีอะไรพิลึกพิลั่น เหมือนอภินิหารกฎหมายที่เคยถูกนำมาใช้กับกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.อีกหรือไม่

ฝ่ายกระบอกเสียงพรรคสืบทอดอำนาจ ก็โพนทะนารายวัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมี 250 เสียงส.ว.ลากตั้งที่ยังไงเสียเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ต้องเป็นของพวกตัวเองแน่ ที่เหลือเป็นเรื่องของการล่างูเห่าเพื่อแก้วิกฤติเสียงปริ่มน้ำเสริมความแข็งแกร่งของรัฐบาลหลังเข้าไปสู่อำนาจบริหาร เหล่านั้นคือต้นทุนที่ต้องบวกลบคูณหาร โดยหากผู้นำยังเป็นคนอยากอยู่ยาว ภาพลักษณ์ที่สร้างกันไว้เรื่องใจซื่อ มือสะอาด จะทำกันอย่างไรในเมื่อ ผู้สนับสนุนหลักของตัวเองต้องถอนทุนคืน

อย่างที่บอก การกลับเข้าสู่ตำแหน่งหนใหม่เมื่อไม่มีอำนาจจากมาตรายาวิเศษแล้ว กระบวนการ กลไกการตรวจสอบโดยเฉพาะจากคณะบุคคลที่ได้ชื่อว่าฝ่ายค้านนั้นต้องหนักหน่วง รุนแรง หากมีช่องหรือพวกทำเลวเพียงแค่นิดเดียว ภาพลักษณ์ที่สร้างกันมาตลอดเวลา 5 ปี จะมีอันหายวับไปในทันที ดีไม่ดีจะถูกสาวกันย้อนหลัง ใครของจริงก็ไม่หวั่นไหว แต่พวกปากว่าตาขยิบน่าจะอยู่กันไม่สุข

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะก้าวไปถึงขั้นตอนการเลือกนายกฯ สองขั้วการเมืองฝ่ายสืบทอดอำนาจกับฝ่ายประชาธิปไตย จะได้วัดกันในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกันก่อน วันนี้เพื่อไทยชู สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ และ ไพจิต ศรีวรขาน เข้าประกวด ขณะที่อีกฝั่งข่าวปล่อยที่ออกมาก่อนจะถูกตอกกลับทันทีทันควันคือชื่อของ บัญญัติ บรรทัดฐาน ผู้เฒ่าของพรรคประชาธิปัตย์

ด้วยความที่แปรสภาพจากพรรคการเมืองใหญ่ กลายเป็นพรรคขนาดกลาง ทำให้พลังการต่อรองของพรรคเก่าแก่หายไปไม่น้อย แต่จากความจำเป็นที่ต้องง้อเสียงของพรรคตัวแปรพรรคนี้ เมื่อเก้าอี้ผู้นำฝ่ายบริหารพรรคใหญ่จองไปแล้ว ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติก็น่าจะเหมาะสมสำหรับคนของพรรคที่มีชั้นเชิงทางการเมืองซึ่งยากที่จะหาใครมาต่อกรได้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ เพราะราคางูเห่าถ้าไหลไปขนาดตัวเลข 9 หลักเสียแล้ว ลำพังแค่เก้าอี้ประธานสภาฯไม่น่าจะเพียงพอเสียแล้ว ไม่ว่ากับพรรคใดก็ตาม

สำหรับพรรคนายใหญ่แม้จะแสดงออกว่าชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่จากบริบทที่เห็นและเป็นไป คนส่วนใหญ่ในพรรคต่างรับสภาพกันแล้วว่าคงต้องไปยืนอยู่ฝั่งฝ่ายค้านแน่ ดังนั้น รายชื่อสองผู้อาวุโสที่ผุดมา จึงน่าจะหมายถึงการเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาด้วย จะว่าไปถ้าให้เทียบเคียงเกมในสภากับการทำหน้าที่ตรวจสอบ ต้องยอมรับกันว่าพรรคเพื่อไทยทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย เพราะส่วนใหญ่ตั้งใจจะเป็นฝ่ายรัฐบาลมากกว่า ถนัดแต่งานบริหารไม่เก่งตรวจสอบ

นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายสืบทอดอำนาจมั่นอกมั่นใจว่า ถ้าตั้งรัฐบาลสำเร็จพรรคพวกตัวเองจะอยู่ยาวกว่าที่หลายฝ่ายวิจารณ์ ก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าการล่มสลายของรัฐบาลไม่ว่ายุคใดสมัยใด ปัจจัยหลักไม่ได้อยู่ที่การทำงานของฝ่ายค้าน หากแต่จะเกิดจากปัญหาภายในเสียมากกว่า ยิ่งเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค และเต็มไปด้วยผลประโยชน์ เมื่อใดที่จัดสรรกันไม่ลงตัวหรือเกิดการปีนเกลียวมีโอกาสพังพาบได้ทุกเมื่อ

Back to top button