พาราสาวะถี
วันนี้ จับตาศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องที่กกต.ร้องให้วินิจฉัยปมคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไว้พิจารณาหรือไม่ แนวโน้มคาดหมายได้ยาก เพราะสัปดาห์ก่อนการประชุมองค์คณะตุลาการชุดเล็ก 4 คนก็ไร้ข้อสรุป ฝ่ายหนึ่งเห็นควรไม่ให้รับไว้วินิจฉัยเนื่องจากปัญหายังไม่เกิด ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่ามีปัญหาแล้วและตามกฎหมายใหม่ก็ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับเรื่องไว้พิจารณาได้
อรชุน
วันนี้ จับตาศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องที่กกต.ร้องให้วินิจฉัยปมคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไว้พิจารณาหรือไม่ แนวโน้มคาดหมายได้ยาก เพราะสัปดาห์ก่อนการประชุมองค์คณะตุลาการชุดเล็ก 4 คนก็ไร้ข้อสรุป ฝ่ายหนึ่งเห็นควรไม่ให้รับไว้วินิจฉัยเนื่องจากปัญหายังไม่เกิด ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่ามีปัญหาแล้วและตามกฎหมายใหม่ก็ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับเรื่องไว้พิจารณาได้
จะว่าไปประเด็นนี้คงไม่มีปัญหาถึงขั้นที่จะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมาตีความ หากกกต.ได้ใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ไม่แสดงท่าทีทำให้สังคมเกิดข้อกังขา เมื่อทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เสียตั้งแต่ต้น มันจึงพาลให้การขยับในแต่ละเรื่องเต็มไปด้วยอุปสรรคและข้อคำถาม ยิ่งกรณีนี้เห็นได้ชัดว่าการจะเกลี่ยคะแนนไปถึง 11 พรรคการเมือง คนไม่ได้มองที่กฎหมายว่าทำได้หรือไม่ แต่ดูที่เจตนาว่าทำไปเพื่ออะไรและมีเบื้องหลังหรือไม่
ทุกท่วงท่าของกกต.คณะนี้นับตั้งแต่รับตำแหน่ง สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือปุจฉาเรื่องความโปร่งใส ในเมื่อไม่ได้ลงมือทำงานคนก็ยังให้โอกาส แต่พอได้เห็นฝีมือจากการแบ่งเขตเลือกตั้ง ความไม่มั่นใจมันผุดขึ้นในหัวของประชาชนส่วนใหญ่ในทันที พอมีประเด็นเรื่องบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า ปัญหาการคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ยิ่งกระแสของข่าวสารมันถูกกระพือโหมด้วยโลกโซเซียลในยุคปัจจุบัน มันยิ่งเหมือนการขยายแผลเปิดปมให้คนยกมือไม่วางไว้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความน่าเชื่อถือที่มีต่อองค์กรอิสระต่าง ๆ ในเวลานี้ ส่วนสำคัญที่มีผลกระทบโดยตรงคงหนีไม่พ้น การยกร่างกฎหมายที่ถูกนำมาใช้กับแต่ละองค์กรของคณะเนติบริกรที่ฝ่ายเผด็จการตั้งขึ้นมา การเลือกที่จะเซตซีโร่หรือปล่อยให้อยู่ได้ต่อไป เป็นการสะท้อนเจตนาของผู้มีอำนาจว่าทำไปเพื่อหวังผลอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ พอมีปัญหาที่จะต้องอาศัยกระบวนการขององค์กรเหล่านั้นมันจึงเกิดเป็นความไม่เชื่อมั่นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันก่อนบอกไปว่าก่อนรับรองส.ส. 9 พฤษภาคมนี้กกต.ไม่น่าจะมีการแจกใบส้ม ใบเหลืองให้กับว่าที่ส.ส.รายใด ล่าสุด ได้ สมชัย ศรีสุทธิยากร มาช่วยยืนยันอีกหนึ่งเสียง จากการตรวจสอบระยะเวลาที่กกต.จะจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตหรือหน่วยที่จะเกิดขึ้นก่อนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม คงทำไม่ได้และไม่มีวันอาทิตย์ที่มีความเหมาะสมจะจัดการเลือกตั้งใหม่ทั้งระดับหน่วยหรือเขตเลือกตั้ง หากกกต.พิจารณาแจกใบเหลืองให้ผู้สมัครส.ส.ที่ได้คะแนนอันดับ 1 จากการประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการ
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้คือกกต.จะต้องประกาศผลรับรองให้ได้ส.ส. 95% ในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ไปก่อน และอาจจะเหลือเป็นบางส่วนไม่เกิน 5% เพื่อพิจารณาจัดการเลือกตั้งใหม่หรือดำเนินการตามแนวทางที่เหมาะสม โดยในจำนวนที่เหลือนี้หากกกต.จะแขวนไว้เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่บางหน่วย ก็คงต้องพิจารณาจากผลคะแนนของผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดว่า หากเลือกตั้งแล้วจะทำให้มีผลเปลี่ยนแปลงลำดับได้หรือไม่
แต่สิ่งที่สมชัยอธิบายมาไม่รู้ว่ากกต.คณะนี้จะรับฟังหรือถือเป็นแนวปฏิบัติหรือไม่ เพราะหลายอย่างถ้ายึดแนวทางแบบเดิมคงไม่เกิดปัญหาเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เนื่องจากกกต.ที่ผ่านมานอกจากการรับรองผลได้เร็วแล้ว แนวปฏิบัติของกกต.ก็จะพิจารณาว่าถ้าเรื่องร้องเรียนไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้ง ก็จะไม่สั่งให้มีการเลือกตั้งในหน่วยนั้น ดังนั้น เวลานี้ คำถามตัวโตที่คนยังสงสัยอยู่คือกกต.จะทำอย่างไรให้ประกาศผลส.ส.ได้ 95% โดยที่สูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ยังมีปัญหาอยู่
ไม่รู้ว่าอยู่ในอาการปลงหรือแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อรอจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอก นับตั้งแต่เลือกตั้งเราจึงไม่ได้เห็นท่าทีอันดุดันของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยที่มีหลายคนจับอาการและสังเกตว่า ท่าทีในลักษณะเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องของการได้ไปต่อ เพราะดูจากสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นหลังหย่อนบัตร ล้วนเกิดจากกระบวนการและกลไกที่องคาพยพของคณะรัฐประหารจัดวางไว้ทั้งสิ้น
จากที่คิดว่าจะราบรื่นกลายเป็นสะดุดกันทุกขั้นตอน แผนการที่หวังจะชนะลอยลำโดยใช้พรรคเล็กพรรคน้อยที่เป็นคอเดียวกันมาช่วยสร้างความชอบธรรม หาได้เป็นอย่างที่หวัง เมื่อแนวโน้มที่จะเดินไปสู่ทางตัน หนทางของผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จที่คิดจะอยู่ยาว จึงน่าจะต้องปรับเปลี่ยน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้าหรือเสียหาย เพราะตลอดระยะเวลาแห่งการอยู่ในอำนาจ เราได้เห็นมาแล้วหลายเรื่องเมื่อไม่คุ้มที่จะเสี่ยง ผู้นำเผด็จการก็มักจะถอยเอาแบบดื้อ ๆ เหมือนกัน
หนนี้ก็คงไม่แตกต่าง ในเมื่อหนทางที่ตัวเองและคณะลงทุนลงแรงแผ้วถางกันเอาไว้ โดยมีโจทย์ใหญ่คือพาประเทศเดินไปข้างหน้าและนำประชาชนกลับมารัก สามัคคีกันดังเดิม แต่หลังเลือกตั้งจะเห็นได้ว่า เส้นทางที่จะเดินกันต่อไปนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง มิหนำซ้ำ ยังเห็นแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความแตกแยกซึ่งไม่ใช่กระบวนการจัดตั้งเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นก่อนยึดอำนาจเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ เพื่อไม่ให้เจอทางตันและอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายให้ผู้นำเผด็จการกลายเป็นจอมเผด็จการมือเปื้อนเลือด หนทางออกของปัญหาจึงถูกมองไปในมุมที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิด แต่กรณีเช่นนี้คงจะชัดเจนขึ้น หลังจากที่กกต.ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ไปแล้ว จะใช่ปาฏิหาริย์หรือไม่ คงต้องไปรอลุ้นกัน ทางใดที่ไม่ทำให้ประเทศต้องวกกลับไปสู่ความวุ่นวาย เชื่อได้ว่า คนไทยทุกคนพร้อมที่จะยอมรับทุกประการ
ส่วนการเมืองหน้าฉากก็อย่างที่เห็น ยังคงเป็นการชิงไหวชิงพริบ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังจะมีเพียงพรรคสืบทอดอำนาจเท่านั้นที่ออกมากระทุ้งและแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและกระเตงผู้นำเผด็จการให้ได้ไปต่อ ขณะที่ฟากของแกนนำฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเพื่อไทยดูเหมือนจะเพลา ๆ การแสดงท่าทีอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป คงเล็งเห็นแล้วว่าท่าทีที่แสดงออกไป ไม่ได้มีผลต่อกระบวนการจับมือกันเพื่อตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด